แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เงินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีของศาลแรงงานกลางนำไปวางศาลเพื่อชำระหนี้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนนั้นเป็นเงินค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่าย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าชดเชยและค่าเสียหายตามสิทธิที่ผู้ร้องพึงได้ตามกฎหมาย ซึ่งนายจ้างจะต้องจ่ายแก่ผู้ร้องผู้เป็นลูกจ้าง แม้ผู้ร้องใช้สิทธิเรียกร้องของตนมาฟ้องนายจ้าง แต่เมื่อผู้ร้องชนะคดีจนได้เงินดังกล่าวมาก็เป็นการได้มาระหว่างสมรส เงินดังกล่าวย่อมเป็นสินสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1474 (1) จำเลยที่ 1 ในฐานะคู่สมรสของผู้ร้องจึงมีสิทธิในเงินดังกล่าวกึ่งหนึ่ง แม้ว่าในคดีของศาลแรงงานกลางนั้นผู้ร้องมิได้แถลงเพื่อยินยอมให้เงินดังกล่าวเป็นสินสมรส ก็หามีผลแต่อย่างใดไม่ เนื่องจากทรัพย์สินใดเป็นสินสมรสระหว่างสามีภริยาหรือไม่นั้นเป็นไปโดยผลของกฎหมาย หาใช่เป็นเพราะความยินยอมของผู้ร้องไม่ เมื่อเงินดังกล่าวเป็นสินสมรสและตกเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ตามกฎหมายแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิขออายัดเงินดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ถอนการอายัด
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกันชำระหนี้อันเกิดจากการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ คิดเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 2,281,005.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในเงินต้น 2,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวรับผิดชดใช้เงินจำนวนตามฟ้องแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินในคดีของศาลแรงงานกลาง คดีหมายเลขดำที่ 2834/2543 หมายเลขแดงที่ 11378/2543 ที่จำเลยในคดีดังกล่าวได้วางชำระหนี้แก่โจทก์ในคดีดังกล่าวซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีนี้โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยในคดีของศาลแรวงงานกลางได้วางไว้ในคดีดังกล่าวนั้นเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับกึ่งหนึ่งคิดเป็นเงิน 564,460.50 บาท จึงขออายัดมาเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ในคดีนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้นั้นเป็นเงินค่าจ้างค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ตามสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ร้องจึงมิใช่สินสมรส โจทก์ไม่มีสิทธินำอายัด ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการอายัด
โจทก์ให้การว่า เงินดังกล่าวเป็นเงินค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าจ้างค้างจ่าย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าชดเชยและค่าเสียหายผู้ร้องได้รับโดยผลของกฎหมายและได้มาในระหว่างสมรสกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสินสมรส ซึ่งผู้ร้องได้รับไปแล้วกึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือจึงเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องและคำให้การของโจทก์แล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยชี้ขาดได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงสั่งงดสืบพยานผู้ร้องและโจทก์ และพิพากษายกฟ้อง (ที่ถูก ยกคำร้อง) ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ที่ศาลชั้นต้น เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนพอวินิจฉัยชี้ขาดได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน จึงมีคำสั่งงดสืบพยานผู้ร้องและโจทก์ และนัดฟังคำพิพากษานั้นเป็นการพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 ได้อ้างสิทธิในการขออายัดเงินในคดีหมายเลขแดงที่ 11378/2543 ของศาลแรงงานกลางที่ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวมีสิทธิได้รับจากกรณีที่จำเลยในคดีดังกล่าวนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้แก่ผู้ร้อง จำเลยที่ 1 คู่สมรสของผู้ร้องย่อมมีสิทธิกึ่งหนึ่งในเงินดังกล่าว โจทก์จึงขออายัดเงินส่วนที่เป็นของจำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแต่ผู้ร้องคัดค้านว่า เงินที่ได้มีการวางศาลในคดีดังกล่าวไม่ใช่สินสมรส ขอให้ถอนการอายัด ดังนั้น ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้มีเพียงว่า เงินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวนำมาวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตกเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย มิได้โต้เถียงกันในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องมีการสืบพยาน ส่วนข้อเท็จจริงในเบื้องต้นที่จะใช้อ้างอิงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายที่พิพาทกันดังกล่าว เช่น ข้อเท็จจริงที่ว่า ในคดีของศาลแรงงานกลางมีการวางเงินเพื่อชำระหนี้จริงหรือไม่ เป็นหนี้ค่าอะไร จำนวนเท่าใด วางต่อศาลเมื่อใดเพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้ใดนั้น ทั้งผู้ร้องและโจทก์ต่างมิได้โต้แย้งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ กรณีจึงไม่จำต้องสืบพยานอีก ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนพอวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน จึงสั่งให้งดสืบพยานผู้ร้องและโจทก์และวินิจฉัยคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทนั้น เป็นการพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการต่อไปตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า เงินที่จำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีของศาลแรงงานกลางนำไปวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า เงินที่จำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีของศาลแรงงานกลางนำไปวางศาลเพื่อชำระหนี้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวเป็นเงินค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่าย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าชดเชยและค่าเสียหายตามสิทธิที่ผู้ร้องพึงได้ตามกฎหมาย ซึ่งนายจ้างจะต้องจ่ายแก่ผู้ร้องผู้เป็นลูกจ้าง แม้ผู้ร้องใช้สิทธิเรียกร้องของตนมาฟ้องนายจ้าง แต่เมื่อผู้ร้องชนะคดีจนได้เงินดังกล่าวมาก็เป็นการได้มาระหว่างสมรส เงินดังกล่าวย่อมเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 (1) จำเลยที่ 1 ในฐานะคู่สมรสของผู้ร้องจึงมีสิทธิในเงินดังกล่าวกึ่งหนึ่งคิดเป็นจำนวน 564,460.50 บาท และแม้ว่าในคดีของศาลแรงงานกลางนั้นผู้ร้องมิได้แถลงต่อศาลเพื่อยินยอมให้เงินจำนวนดังกล่าวเป็นสินสมรส ก็หามีผลแต่อย่างใดไม่ เนื่องจากทรัพย์สินใดเป็นสินสมรสระหว่างสามีภริยาหรือไม่นั้นเป็นไปโดยผลของกฎหมาย หาใช่เป็นเพราะความยินยอมของผู้ร้องไม่ เมื่อเงินดังกล่าวเป็นสินสมรสและตกเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ตามกฎหมายแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิขออายัดเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ถอนการอายัด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้อง (ที่ถูก ยกคำร้อง) มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ