คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6392/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันลักลอบปรับคลื่นวิทยุคมนาคมเป็นของบุคคลอื่นได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตแล้วนำออกให้บริการแก่บุคคลทั่วไปโดยจำเลยทั้งสามคิดค่าบริการจากผู้ใช้บริการแม้จะกระทำในเวลาเดียวกัน แต่ก็เป็นการกระทำที่สามารถแยกจากกันเป็นราย ๆ ตามจำนวนเครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยทั้งสามร่วมกันลักลอบปรับคลื่นและนำออกให้บุคคลทั่วไปใช้บริการโดยเรียกค่าบริการได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยให้การรับสารภาพถือว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเจตนาแยกเป็นราย ๆ ไป ตามจำนวนเครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยทั้งสามร่วมกันลักลอบปรับคลื่นวิทยุคมนาคม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
จำเลยทั้งสามร่วมกันนำเครื่องวิทยุคมนาคมที่ปรับคลื่นวิทยุคมนาคมของผู้ที่ได้รับอนุญาตเปลี่ยนให้ใช้คลื่นวิทยุคมนาคมจากเจ้าพนักงานให้บริการแก่บุคคลโดยทั่วไปโดยเรียกค่าบริการจากผู้ใช้บริการเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่นซึ่งเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนับว่าเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรงจำเลยทั้งสามเป็นนักศึกษาย่อมจะมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่าผู้ที่มิได้เป็นนักศึกษากลับมากระทำผิดอันเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชนโดยทั่วไป สมควรลงโทษเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสามนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูคดีแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ เมื่อระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2542 เวลากลางวันถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2543 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ติดต่อกันมาโดยตลอดจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเครื่องวิทยุคมนาคม โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือยี่ห้อโมโตโรล่า รวม 6 เครื่อง เครื่องวิทยุคมนาคมทั้งหกเครื่องดังกล่าวสามารถรับและส่งสัญญาณและเสียงให้เข้าใจความหมายได้ด้วยคลื่นแฮรตเซียน อันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมตามกฎหมายไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และตามวันเวลาดังกล่าวหลังจากที่จำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยร่วมกันนำโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือดังกล่าวมาใช้ให้บริการแก่บุคคลทั่วไป ได้ส่งและรับสัญญาณเสียงติดต่อกับผู้อื่นและคิดค่าบริการจากผู้ใช้บริการ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานและไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย ตามวันและเวลาดังกล่าวภายหลังจากที่ได้กระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสามจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนและขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมโดยร่วมกันนำเครื่องวิทยุคมนาคม โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือดังกล่าวมาปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่โดยใช้วิธีใส่ข้อมูลของเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือ หมายเลขโทรศัพท์ 01-300545 หมายเลขโทรศัพท์01-4307553 หมายเลขโทรศัพท์ 01-4879203 หมายเลขโทรศัพท์01-4812621 เข้ากับเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือยี่ห้อโมโตโรล่าทำให้เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือจำนวน 6 เครื่องดังกล่าวสามารถรับและส่งสัญญาณได้เช่นเดียวกับเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือ หมายเลข 01-3000545, 01-3094063, 01-4074062,01-4307553, 01-4879203 และ 01-4812621 ของบริษัทโทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีนายธีระ คู่ปิตุภูมินายสมิทธ์ ฉันททิพย์ฌาน นายภูมิสุข ธาสุกรี นายอำนาจ เอื้ออารีมิตรร้อยตำรวจโทสมบัติ โรจน์วิโรจน์ และนายชัยวัช มะระพฤกษ์วรรณเป็นผู้ขอจดทะเบียนขอใช้เครื่องโทรศัพท์ดังกล่าวจากบริษัทโทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ และเป็นผู้เสียหายใช้บริการโทรศัพท์ที่จำเลยทั้งสามเป็นผู้ใช้หรือนำไปให้ผู้อื่นใช้โทรศัพท์ทุกครั้ง และขณะที่จำเลยทั้งสามกำลังใช้หรือนำไปให้ผู้อื่นใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือทั้งหกเลขหมายดังกล่าว จะทำให้เกิดการรบกวนและขัดขวางรวมทั้งทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือทั้งหกเลขหมายนั้นใช้ติดต่อโทรศัพท์กับผู้อื่นไม่ได้และทำให้นายธีระ คู่ปิตุภูมิ กับพวกรวม 6 คนดังกล่าว เป็นผู้เสียค่าใช้บริการโทรศัพท์ที่จำเลยทั้งสามเป็นผู้ใช้โทรศัพท์หรือให้ผู้อื่นใช้โทรศัพท์ทุกครั้ง เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามได้พร้อมด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือ 6 เครื่อง ที่จำเลยทั้งสามร่วมกันมีและใช้กระทำความผิด แบตเตอรี่ 10 ก้อน แท่นชาร์จ1 เครื่อง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้โทรศัพท์มือถือดังกล่าวใช้กระทำผิดได้เงิน 940 บาท ซึ่งได้มาจากการกระทำผิด โต๊ะพับ 1 ตัว เก้าอี้4 ตัว ที่ใช้วางและนั่งเพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นของกลางขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498มาตรา 4, 6, 22, 23, 26 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33,83, 91 ริบเงิน 940 บาท โต๊ะพับ 1 ตัว เก้าอี้ 4 ตัว ของกลางส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือ 6 เครื่อง แบตเตอรี่ 10 ก้อน และแท่นชาร์จ 1 เครื่อง ของกลางให้ริบไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข

จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 23, 26ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปีฐานร่วมกันใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1และที่ 2 คนละ 1 ปี ฐานร่วมกันกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 ปี จำเลยที่ 3 อายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 หนึ่งในสามจำคุกกระทงละ8 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 24 เดือน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1และที่ 2 คนละ 1 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 12 เดือนริบเงินจำนวน 940 บาท โต๊ะพับและเก้าอี้ของกลาง ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือ แบตเตอรี่ และแท่นชาร์จ ของกลางให้ริบไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำคุก

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และความผิดฐานร่วมกันใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการกระทำกรรมเดียวมีอัตราโทษเท่ากัน ลงโทษฐานร่วมกันมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูกเป็นมาตรา 76) หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 8 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันกระทำให้เกิดการกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 16 เดือน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1และที่ 2 คนละ 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสามฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยทั้งสามฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันนำเครื่องวิทยุคมนาคมที่ปรับเปลี่ยนคลื่นวิทยุคมนาคมเป็นของผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้คลื่นวิทยุคมนาคมจากเจ้าพนักงาน มาให้บริการแก่บุคคลโดยทั่วไปโดยเรียกค่าบริการจากผู้ใช้บริการเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่นซึ่งเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนับเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรง จำเลยทั้งสามเป็นนักศึกษาย่อมจะมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่าผู้มิได้รับการศึกษา กลับมากระทำผิดอันเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีกับเยาวชนโดยทั่วไป สมควรลงโทษเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสามนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น

การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันลักลอบปรับคลื่นวิทยุคมนาคมเป็นของบุคคลอื่นที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตแล้วนำออกให้บริการแก่บุคคลทั่วไปโดยจำเลยทั้งสามคิดค่าบริการจากผู้ใช้บริการแม้จะกระทำในเวลาเดียวกัน แต่ก็เป็นการกระทำที่สามารถแยกจากกันเป็นราย ๆ ตามจำนวนเครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยทั้งสามร่วมกันลักลอบปรับคลื่นและนำออกให้บุคคลทั่วไปใช้บริการโดยเรียกเก็บค่าบริการได้ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเจตนากระทำผิดแยกเป็นราย ๆ ไป ตามจำนวนเครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยทั้งสามร่วมกันลักลอบปรับคลื่นวิทยุคมนาคม การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 6 กระทงที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดฐานจงใจและขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมเพียงกรรมเดียว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหานี้แม้โจทก์จะมิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษและแก้ไขให้ถูกต้อง โดยไม่แก้โทษที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ฐานร่วมกันมีและใช้วิทยุคมนาคมตามมาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 23 กระทงหนึ่งฐานร่วมกันกระทำให้เกิดการรบกวนและขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26รวม 6 กระทง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา

Share