คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2092/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การประปานครหลวงโจทก์โดย ส. ผู้ว่าการได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ ป. ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์โดยขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคำสั่งดังกล่าวไม่ได้ถูกยกเลิกหรือเพิกถอนจึงยังมีผลใช้บังคับอยู่ แม้ ส. จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม ป. ซึ่งยังดำรงตำแหน่งอยู่ก็มีอำนาจลงนามมอบอำนาจให้ ก. ผู้อำนวยการกองคดีฟ้องคดีแทนได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า ช. ผู้ว่าการเป็นผู้แต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ไม่ตรงต่อความเป็นจริงก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์เสียไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. 2510 นางชวนพิศ ธรรมศิริเป็นผู้ว่าการมีอำนาจในการดำเนินคดีในนามโจทก์ ได้มอบอำนาจให้นายปาน แดงประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย ลงนามแทนผู้ว่าการการประปานครหลวง ต่อมานายปานมอบอำนาจช่วงให้นายสกลศักดิ์ ภิญโญพิชญ์ ผู้อำนวยการกองคดี ดำเนินคดีแทนโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างทำงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2539 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ใช้เครื่องดันท่อดันท่อระบายน้ำลอดถนนวิภาวดีรังสิตเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร โดยความประมาทเป็นเหตุให้ไปถูกท่อประปา (ท่อประธาน) ของโจทก์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง600 มิลลิเมตร ซึ่งวางอยู่ใต้ดินแตกเสียหาย น้ำรั่วไหลไม่สามารถจ่ายน้ำให้ประชาชนในบริเวณนั้นได้ โจทก์ได้จัดการซ่อม เสียค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายอื่น ๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 287,873 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 309,463 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 287,873 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า นายสกลศักดิ์ ภิญโญพิชญ์ ผู้รับมอบอำนาจ ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 18 มกราคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว แม้ปรากฏตามคำฟ้องว่าขณะฟ้องโจทก์มีนางชวนพิศ ธรรมศิริ เป็นผู้ว่าการการประปานครหลวงและคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์แต่งตั้งไว้ขณะนายสุวิช ฟูตระกูล เป็นผู้ว่าการการประปานครหลวงก็ตาม แต่คำสั่งดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้ถูกยกเลิกหรือถูกเพิกถอน จึงยังมีผลใช้บังคับอยู่ เมื่อได้ความว่าในการฟ้องคดีนี้นายปาน แดงประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายในฐานะผู้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นผู้ดำเนินคดีในนามโจทก์ยังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายอยู่ ย่อมมีอำนาจลงนามมอบอำนาจให้นายสกลศักดิ์ภิญโญพิชญ์ ผู้อำนวยการกองคดีฟ้องคดีแทนได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า นางชวนพิศ ธรรมศิริ เป็นผู้แต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์เสียไปแต่อย่างใดฎีกาโจทก์ฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาสาระแห่งคดีตามอุทธรณ์ของจำเลยเพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ทั้งผลการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิในการฎีกาของคู่ความ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวตามอุทธรณ์จำเลยก่อน”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share