แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายและการถือกรรมสิทธิ์ให้กลับมาเป็นชื่อของโจทก์พร้อมกับเรียกค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนเสร็จสิ้น โดยในส่วนค่าเสียหาย ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้พยายามติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขาย และการถือกรรมสิทธิ์รวมให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ดังเดิม แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10,000 บาท ขอให้จำเลยชดใช้นับแต่วันฟ้อง แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องระบุเลยว่าฝ่ายจำเลยโต้แย้งการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทของโจทก์อย่างไร และไม่ปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ว่าหากฝ่ายจำเลยดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรม ดังกล่าวแล้ว โจทก์จะได้ประโยชน์อย่างไรถึงจำนวนเดือนละ 10,000 บาท อีกทั้งมารดาโจทก์อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทและเป็นผู้เก็บเอาผลประโยชน์จากผลไม้ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์ทำการสมรสและย้ายออกไปจากที่ดินพิพาท โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์หรือเข้าเก็บผลประโยชน์จากที่ดินพิพาทไป ดังนั้น เมื่อได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายและการถือกรรมสิทธิ์รวมโดยแก้ไขสารบัญการจดทะเบียน ในโฉนดที่ดินพิพาทแล้ว ความเสียหายของโจทก์ย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป ศาลย่อมไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมตามหนังสือสัญญาขายที่ดินเฉพาะส่วน ฉบับวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๘ ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยทั้งสี่ไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมตามบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมฉบับลงวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๓๙ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ โดยให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันออกค่าใช้จ่ายแทนโจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาล แทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า คำฟ้องของโจทก์ในส่วนของค่าเสียหายและอำนาจฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินที่มีชื่อโจทก์คืนแก่จำเลยที่ ๑ จำนวน ๑,๔๒๓ ตารางวา โดยปลอดจากภาระผูกพันใด ๆ และให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการโอนและค่าภาษีที่ดินที่โจทก์ต้อง โอนคืนแก่จำเลยที่ ๑ จำนวน ๑,๔๒๓ ตารางวา มีราคาตามราคาประเมินของสำนักงานที่ดินตารางวาละ ๒๕๐ บาท คิดเป็นเงินจำนวน ๓๕๕,๗๕๐ บาท
โจทก์ให้การขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๙๑๓ เลขที่ดิน ๒๖๘ ตำบลเหมืองใหม่ (หัวหาด) อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๘ ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมตามบันทึก ข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าว ลงวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๓๙ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกับเด็กชายนิพนธ์ นิลเล็ก เช่นเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสี่ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกัน ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวนเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๙) จนกว่าจะเพิกถอน การจดทะเบียนดังกล่าวเสร็จสิ้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่เห็นควรวินิจฉัยในชั้นนี้เป็นประการแรกเสียก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนซื้อที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของโจทก์และจดทะเบียนให้โจทก์และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๑ ได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ นำแบบฟอร์มหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์เพียงลงลายมือชื่อไว้ไปกรอกข้อความว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ เป็น ผู้มีอำนาจจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย หนังสือมอบอำนาจจึงเป็นเอกสารปลอม การที่จำเลยที่ ๑ นำหนังสือมอบอำนาจปลอมไปจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์มาเป็นของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย นิติกรรม การโอนขายที่ดินพิพาทดังกล่าวมิได้เกิดจากการแสดงเจตนาของโจทก์ที่ประสงค์จะทำนิติกรรมนั้น นิติกรรม การจดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของโจทก์มาเป็นของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวได้ ปัญหาเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโดยทำหนังสือมอบอำนาจปลอมขึ้นแล้วจำเลยที่ ๑ นำไปดำเนินการทำนิติกรรมโอนขายที่ดินส่วนของโจทก์มาเป็นของจำเลยที่ ๑ อันเป็นเหตุให้นิติกรรมดังกล่าวไม่มีผลผูกพันโจทก์นั้นเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องและเป็นปัญหาข้อกฎหมาย อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะมิได้มีการชี้สองสถานกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ศาลฎีกา ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตามที่เห็นสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๖ และมาตรา ๑๔๒ (๕) เมื่อนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์มาเป็นของจำเลยที่ ๑ ไม่ผูกพันโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาข้างต้น จึงต้องถือว่ามิได้มีนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เกิดขึ้นเลย จำเลยที่ ๑ ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์และไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ไปจดทะเบียนโอนยกให้แก่โจทก์และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ โดยให้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันต่อไปอีกได้ และเมื่อ นิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่ผูกพันโจทก์ และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าวเสียแล้ว คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ที่ว่า โจทก์ซื้อ ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนครึ่งหนึ่งเพื่อตนเองหรือไม่อีก เพราะแม้ผลการวินิจฉัยจะฟังว่าโจทก์มิได้ซื้อที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง เพื่อตนเอง จำเลยทั้งสี่ก็ไม่อาจถือเอาความไม่สุจริตของจำเลยที่ ๑ ที่ทำการปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์มาเป็นประโยชน์ในการจดทะเบียนทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์มาเป็นของจำเลยที่ ๑ และจดทะเบียนทำนิติกรรมให้โจทก์และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินส่วนดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ให้จดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมตามคำฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไป ตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่เพียงว่า โจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด ในปัญหานี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้พยายามติดตาม ทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายและการถือกรรมสิทธิ์รวมให้โจทก์เป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ดังเดิม แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องระบุเลยว่าฝ่ายจำเลยโต้แย้งการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทของโจทก์อย่างไร และไม่ปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ด้วยว่า หากฝ่ายจำเลยดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวแล้ว โจทก์จะได้ประโยชน์อย่างไรถึงจำนวนเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท อีกทั้งข้อเท็จจริงปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ซึ่งตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่า นางเกียวมารดาโจทก์อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทและเป็นผู้เก็บเอาประโยชน์จากผลไม้ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์ทำการสมรสและ ย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๘ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ หรือเข้าเก็บผลประโยชน์จากที่ดินพิพาทไป ดังนั้น เมื่อได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายและ การถือกรรมสิทธิ์รวมโดยแก้ไขสารบัญการจดทะเบียนในโฉนดที่ดินพิพาทแล้ว ความเสียหายของโจทก์ย่อมเป็น อันระงับสิ้นไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.