คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 มี เมทแอมเฟตามีน คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์150 กรัมเศษไว้ในครอบครอง ต้องถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคสอง และเป็นการกระทำความผิดสำเร็จ
ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยที่ 2 กำลังนับเงินอยู่โดยนับไปได้เพียง 30,000 บาท จากจำนวนเงิน 174,000 บาทและ เมทแอมเฟตามีน ที่จะซื้อขายก็ยังวางกองรอการส่งมอบอยู่การจำหน่ายยาเสพติดของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่บรรลุผล จำเลยที่ 1คงมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1เมื่อจำเลยที่ 1 มี เมทแอมเฟตามีน ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย4,029 เม็ด แต่จำเลยที่ 1 พยายามจำหน่ายบางส่วนจำนวน 4,000เม็ด การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างวาระกัน
จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และอาศัยอยู่ในบ้านเกิดเหตุด้วยกัน การที่จำเลยที่ 1 ให้นั่งนับเงินจำนวนมากเป็นแสนบาทต่อหน้าคนแปลกหน้าและในบริเวณนั้นมี เมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ดบรรจุถุงพลาสติกจำนวนถึง 20 ถุงวางให้เห็นอยู่เช่นนี้ จำเลยที่ 2น่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นการนับเงินที่จำเลยที่ 1 จะได้จากการจำหน่ายยาเสพติดซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2ได้ในขณะที่กำลังนับเงินของกลางโดยจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าช่วยนับเงินที่ผู้ซื้อ เมทแอมเฟตามีน ส่งมอบให้ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการพยายามกระทำความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่รับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 29 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง และมาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ในส่วนของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 มีปริมาณสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จำคุกตลอดชีวิตฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1มีปริมาณสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก33 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 1 รับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงแรก 33 ปี 4 เดือน กระทงที่สอง 22 ปี 2 เดือน 20 วันรวมแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(3) ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสนับสนุนการทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1มีปริมาณสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 22 ปี 2 เดือน 20 วันจำเลยที่ 2 รับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 16 ปี 8 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง(ที่ถูกต้องมีคำว่าคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก)

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1เป็นมารดาของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2541 เวลากลางคืนหลังเที่ยง เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นจับกุมจำเลยทั้งสองที่บ้านของจำเลยที่ 1 และยึดเมทแอมเฟตามีน 4,029 เม็ด คำนวณปริมาณสารบริสุทธิ์ได้ 115.10 กรัม เป็นของกลาง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยที่ 1 มียาเสพติดให้โทษในประเภท 1มีปริมาณสารบริสุทธิ์เกินหนึ่งร้อยกรัม ไว้เพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษดังกล่าว และจำเลยที่ 2 สนับสนุนการพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษของจำเลยที่ 1 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกปรีดา อิ่มเจริญ จ่าสิบตำรวจพงษ์ณัฎฐ์สระแสงทรวง และสิบตำรวจโทอำนาจ ป้านสุวรรณ เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า เข้าร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองด้วยกัน เนื่องจากก่อนจับกุมสืบทราบว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติด จึงได้วางแผนจับกุมโดยวันเกิดเหตุเวลากลางวัน ร้อยตำรวจเอกปรีดาให้สายลับไปติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน 2 มัด เมื่อสายลับกลับมารายงานว่าจำเลยที่ 1 ตกลงจะขายให้ในราคามัดละ 87,000 บาท ร้อยตำรวจเอกปรีดาจึงมอบเงิน174,000 บาทให้แก่สายลับหญิงชาย 2 คนนำเข้าไปล่อซื้อที่บ้านจำเลยที่ 1ด้วยรถยนต์ ในคืนวันนั้นพยานโจทก์ดังกล่าวกับเจ้าพนักงานตำรวจอื่นประมาณ 10 คนไปจอดรถรออยู่ห่างบ้านเกิดเหตุประมาณ 200 เมตรหลังจากสายลับทั้งสองเข้าไปในบ้านได้สิบกว่านาทีสายลับผู้ชายโทรศัพท์มาแจ้งว่า จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนมามอบให้แล้ว และจำเลยที่ 2กำลังนับเงินอยู่พยานโจทก์ดังกล่าวกับเจ้าพนักงานตำรวจอื่นที่รออยู่จึงเข้าไปในบ้านพบจำเลยทั้งสองอยู่ที่ห้องโถงชั้นบนของบ้าน ซึ่งเป็นบ้าน2 ชั้น ใต้ถุนสูงจำเลยที่ 2 กำลังนับเงินอยู่จึงแสดงตนเข้าจับกุมพบเมทแอมเฟตามีน 2 มัด มัดละ 10 ถุง ถุงละ 200 เม็ด วางอยู่บนพื้นและในกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าที่จำเลยที่ 1 สวมใส่ พบเมทแอมเฟตามีนอีก29 เม็ด บรรจุถุงพลาสติกใสอยู่อีก 1 ถุง ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 มัด ให้แก่สายลับส่วนเมทแอมเฟตามีนอีก 29 เม็ด ในกระเป๋าเสื้อมีไว้สำหรับขายปลีก กับโจทก์มีพันตำรวจตรีภูษิต ภู่ทอง เบิกความเป็นพยานยืนยันว่าเป็นผู้สอบสวนจำเลยทั้งสองจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.3 และภาพถ่ายหมายป.จ.4 ศาลจังหวัดราชบุรี ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.4 เห็นว่า พยานโจทก์ผู้จับกุมทั้งสามปากดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกระทำการตามหน้าที่ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองและเป็นการเข้าจับกุมโดยมีเจ้าพนักงานตำรวจอื่นร่วมปฏิบัติหน้าที่เป็นสิบคน ไม่มีข้อน่าระแวงสงสัยว่าเป็นการกลั่นแกล้ง เป็นการจับได้คาหนังคาเขาพร้อมของกลางจำนวนมาก ที่ชั้นบนบ้านซึ่งเป็นที่พักของจำเลยทั้งสองเป็นบ้านใต้ถุนสูงยากแก่การจะเข้าไปถึง จึงไม่มีข้อสงสัยว่าจะเป็นยาเสพติดของบุคคลอื่นจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตลอดมาทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนโดยได้นำพนักงานสอบสวนไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพด้วยความสมัครใจนั้น ดังนั้น พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า มีเมทแอมเฟตามีนอยู่เพียง 29 เม็ด คือเท่าที่พบอยู่ในกระเป๋าเสื้อคอกระเช้า เพราะมีหญิงชาย 2 คน นำมาเสนอขายในตอนบ่าย 30 เม็ด จึงได้ซื้อไว้แล้วเสพไป 1 เม็ด ต่อมาตอนค่ำบุคคลทั้งสองกลับมาหาและนำเมทแอมเฟตามีนมาเสนอขายให้อีก 4,000 เม็ดแต่จำเลยที่ 1 ไม่รับซื้อนั้น เห็นว่า เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ปราศจากเหตุผลและขัดกับที่จำเลยที่ 1 ให้การไว้ในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.3เพราะชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การว่า ในตอนบ่ายมีหญิงชาย 2 คนมาสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 จึงเตรียมไว้ให้ แล้วในตอนกลางคืนหญิงชายดังกล่าวนำเงินมาซื้อ ขณะกำลังนับเงินอยู่ก็มีเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามาจับกุมข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด ที่บรรจุถุง 20 ถุง วางอยู่บนพื้นห้องในขณะเข้าจับกุมนั้น เป็นของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ถึงหนึ่งร้อยสิบห้ากรัมเศษไว้ในครอบครองต้องถือว่าเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 15 วรรคสอง เพราะตามกฎหมายมาตราดังกล่าวถ้ามีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปก็ให้ถือว่าเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่ายแล้ว แต่ในขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมนั้น จำเลยที่ 2 กำลังนับเงินกันอยู่ โดยตามที่โจทก์นำสืบเพิ่งนับไปได้เพียง 30,000 บาท จากจำนวนเงิน 174,000 บาท ยังจะต้องนับต่อไปอีกมาก และเมทแอมเฟตามีนที่จะซื้อขายก็ยังวางกองรอการส่งมอบอยู่การจำหน่ายยาเสพติดของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่บรรลุผล จำเลยที่ 1 คงมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินหนึ่งร้อยกรัมเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 4,029 เม็ด แต่จำเลยที่ 1 พยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนบางส่วนจำนวน 4,000 เม็ด การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างวาระกัน ต้องเรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และอาศัยอยู่ในบ้านเกิดเหตุด้วยกันน่าจะรู้ความเป็นไปภายในบ้านได้พอสมควร การที่จำเลยที่ 1 ให้นั่งนับเงินจำนวนมากเป็นแสนบาทต่อหน้าคนแปลกหน้า และในบริเวณนั้นมีเมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด บรรจุถุงพลาสติกจำนวนถึง 20 ถุงวางให้เห็นอยู่เช่นนี้ จำเลยที่ 2 น่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นการนับเงินที่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นมารดาจะได้จากการจำหน่ายยาเสพติดซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมายไม่น่าจะเข้าใจเป็นอย่างอื่น ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2ได้ในขณะที่กำลังนับเงินของกลางจำนวน 175,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 1นั่งดูชั้นจับกุม จำเลยที่ 2 ให้การรับว่า ช่วยนับเงินที่ผู้ซื้อเมทแอมเฟตามีนส่งมอบให้ปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย ป.จ.2 ศาลจังหวัดราชบุรี จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1ในการกระทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติด จำเลยที่ 2จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการพยายามกระทำความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”

พิพากษายืน

Share