แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การกระทำที่จำเลยกับพวกใช้ให้ ภ. ขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายที่ 1 มาที่วัดสะแก พาไปที่บ้านเกิดเหตุ แล้วจำเลยกับพวกร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ 1 นั้น เมื่อตามทางนำสืบโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภ. สมรู้ร่วมคิดกับจำเลยและพวกหรือรู้มาก่อนว่าจำเลยกับพวกใช้ให้พาผู้เสียหายที่ 1 มาเพื่อการอนาจาร พฤติการณ์แห่งคดีฟังไม่ได้ว่า ภ. มีเจตนาพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร หรือมีเจตนาร่วมกับจำเลยและพวกกระทำความผิดดังกล่าว การที่จำเลยกับพวกใช้ให้ ภ. ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายที่ 1 มาที่บ้านเกิดเหตุเพื่อการอนาจารจึงไม่ใช่เป็นการใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด เพราะ ภ. ซึ่งเป็นผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด แต่เป็นการที่จำเลยกับพวกใช้ ภ. เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ถือได้ว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้กระทำความผิดเองโดยอ้อม จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 318
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยกับพวกใช้ให้นายภาณุพงษ์ขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายที่ 1 มาที่วัดสะแก จากนั้นจำเลยกับพวกให้นายภาณุพงษ์ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านที่เกิดเหตุ แล้วจำเลยกับพวกร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ 1 แม้ก่อนวันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 3 อนุญาตผู้เสียหายที่ 1 ไปเที่ยวงานที่วัดเขาดิน และผู้เสียหายที่ 1 ออกจากวัดเขาดินไปกับเพื่อนโดยไม่ได้กลับบ้านของผู้เสียหายที่ 3 ก็ตาม แต่ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 3 ว่า ตั้งแต่ผู้เสียหายที่ 1 หายไปไม่สามารถติดต่อได้ พยานได้สอบถามเพื่อน ๆ ของผู้เสียหายที่ 1 แล้วไม่มีใครรู้ว่าไปที่ใด ผู้เสียหายที่ 3 รออยู่หลายวัน ผู้เสียหายที่ 1 ยังไม่กลับมาจึงแจ้งให้ผู้เสียหายที่ 2 ทราบ ต่อมาจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรอุทัย พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ผู้เสียหายที่ 1 ออกจากวัดเขาดิน ผู้เสียหายที่ 1 ยังคงอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งเป็นย่า การที่จำเลยกับพวกใช้ให้นายภาณุพงษ์พาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านที่เกิดเหตุแล้วได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากผู้เสียหายที่ 3 ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งเป็นย่าของผู้เสียหายที่ 1 ที่มีต่อผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ถูกพรากจากไปโดยปริยายโดยปราศจากเหตุอันสมควร แต่การกระทำของจำเลยกับพวกที่ใช้ให้นายภาณุพงษ์ขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายที่ 1 มาวัดสะแก แล้วพาไปที่บ้านที่เกิดเหตุ และจำเลยกับพวกร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ 1 นั้น ตามทางนำสืบโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายภาณุพงษ์สมรู้ร่วมคิดกับจำเลยและพวกหรือรู้มาก่อนว่าจำเลยกับพวกใช้ให้พาผู้เสียหายที่ 1 มาเพื่อการอนาจาร พฤติการณ์แห่งคดีฟังไม่ได้ว่า นายภาณุพงษ์มีเจตนาพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารหรือมีเจตนาร่วมกับจำเลยและพวกกระทำความผิดดังกล่าว การที่จำเลยกับพวกใช้ให้นายภาณุพงษ์ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายที่ 1 มาที่บ้านที่เกิดเหตุเพื่อการอนาจาร จึงไม่ใช่เป็นการใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด เพราะนายภาณุพงษ์ซึ่งเป็นผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด แต่เป็นการที่จำเลยกับพวกใช้นายภาณุพงษ์เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ถือได้ว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้กระทำความผิดเองโดยอ้อม และมีความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานดังกล่าวมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น