คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10415/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหาซึ่งหมายถึงจำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดในข้อหาที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่ได้หมายรวมไปถึงว่า จำเลยรับว่าต้องโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5115/2549 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องด้วย ถือไม่ได้ว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างมาในฟ้องขอให้เพิ่มโทษด้วย เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ ที่ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92, 295 เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย และนับโทษของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5115/2549 ของศาลอาญากรุงเทพใต้
จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 4 เดือน เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 5 เดือน 10 วัน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน 20 วัน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์และบันทึกคำฟ้องบรรยายว่า ก่อนคดีนี้จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 3 ปี ในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5115/2549 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ระหว่างที่จำเลยจำคุกอยู่ในคดีก่อนจำเลยได้กระทำความผิดเป็นคดีนี้อีก ขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีดังกล่าว ดังนี้ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5115/2549 ของศาลอาญากรุงเทพใต้นั้น เป็นข้อเท็จจริงต่างหากจากข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายว่า จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏ แต่จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหาเท่านั้น จำเลยมิได้ให้การรับด้วยว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อตามฟ้อง และโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบพยานให้ปรากฏเช่นนั้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ระบุโดยชัดเจนแล้วว่าจำเลยไม่ถูกควบคุมตัวในคดีนี้ แต่ถูกควบคุมตัวตามหมายจำคุกของศาลอาญากรุงเทพใต้หมายเลขแดงที่ 5115/2549 ซึ่งศาลได้มีหมายเบิกตัวจำเลยจากคดีหมายเลขแดงที่ 5115/2549 ดังกล่าวแล้ว ข้อเท็จจริงจึงปรากฏแก่ศาลชั้นต้นอย่างชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยคดีนี้เป็นคนเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น กรณีดังกล่าวมิใช่ข้อแสดงว่าจำเลยยอมรับว่า เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 5115/2549 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ และแม้คดีนี้เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็สามารถพิพากษาคดีไปได้โดยที่โจทก์ไม่จำต้องนำพยานเข้าสืบก็ตาม แต่หากโจทก์เห็นว่าคดีของโจทก์ยังมีข้อบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่ โจทก์ก็สามารถนำพยานหลักฐานของตนเข้าสืบได้เพื่อให้คดีสมบูรณ์ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อตามฟ้อง ดังนี้ จะนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีดังกล่าวหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 นั้น เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหาซึ่งหมายถึงจำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดในข้อหาที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่ได้หมายรวมไปถึงว่า จำเลยรับว่าต้องโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5115/2549 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องด้วย ถือไม่ได้ว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างมาในฟ้องขอให้เพิ่มโทษด้วย เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ ที่ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิ่มโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 คงจำคุก 2 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share