แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ไนคดีที่มีผู้จัดการมรดก ทายาทไม่จำต้องฟ้องร้องพายไนอายุความมรดก 1 ปี เพราะอายุความย่อมสดุดหยุดลงตาม ม.173 ผู้วายชนม์ทำพินัยกัมยกทรัพย์ไห้โจท ต่อมาผู้วายชนม์ได้ขายไห้จำเลยที่ 1 และจำเลยก็ได้ต่อสู้ว่าเอาสินส่วนตัวไปซื้อที่รายพิพาทนี้ สาลดีกาฟังว่าคดียังไม่มีเหตุผลที่จะไห้เห็นว่าได้มีการแยกทรัพย์กัน ทรัพย์นั้นจึงเปนสมรส และโจทมีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์ตามพินัยกัม
ย่อยาว
โจทฟ้องจำเลยที่ ๑-๒ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๘๔ โดยกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๘๐ พระยามนตรี ฯ ได้ทำพินัยกัมยกที่ดินโฉนดที่ ๒๕๖๗ พร้อมด้วยตึกไห้แก่โจทซึ่งเปนบุตรเกิดด้วยนางพุก ต่อมาวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ พระยามนตรี ฯ ทำสัญญาขายตึกและที่ดินรายนี้ไห้แก่จำเลยที่ ๑ ครั้นวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๔๘๒ พระยามนตรีฯ วายชนม์ จำเลยที่ ๒ ไม่เรียกทรัพย์รายนี้ไห้โจทตามพินัยกัม จึงขอไห้สาลบังคับจำเลยที่ ๑ แบ่งที่ดินรายนี้ไห้โจท ๒ ใน ๓
จำเลยที่ ๑ ไห้การว่าพระยามนตรี ฯ ได้ทำพินัยกัมไห้โจทจิง แต่จำเลยที่ ๑ ได้ออกเงินส่วนตัว ๕,๐๐๐ บาทซื้อที่แปลงนี้ข้อกำหนดไนพินัยกัมจึงเปนอันเพิกถอนไป และตัดฟ้องว่าคดีโจทขาดอายุความ
สาลชั้นต้นวินิฉัยว่าคดีนี้จำเลยต่อสู้กัมสิทธิ์ว่าทรัพย์รายนี้เปนสินส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ คดีจึงไม่ตกหยู่ไนอายุความมรดก ๑ ปี ส่วนการโอนที่รายพิพาทก็ไม่เปนผลไห้ข้อกำหนดพินัยกัมเสียไป จึงพิพากสาไห้จำเลยที่ ๑ แบ่งที่ดินสิ่งปลูกสร้างรายพิพาท ๒ ไน ๓ ไห้แก่โจทซึ่งมีสิทธิได้ตามพินัยกัม.
จำเลยที่ ๑ อุธรน์ สาลอุธรน์ฟังว่าคดีขาดอายุความมรดก พิพากสากลับไห้ยกฟ้องโจท.
โจทดีกา สาลดีกาพร้อมกันปรึกสาเห็นว่ามรดกที่มีผู้จัดการดังเช่นเรื่องนี้ ทายาทไม่จำต้องฟ้องร้องพายไนกำหนด ๑ ปีตาม ป.พ.พ.ม.๑๗๕๔,๑๗๕๕ เพราะอายุความสดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๗๓ ส่วนประเด็นข้อที่ว่าทรัพย์พิพาทจะเปนสินส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ หรือยังเปนสมรสหยู่นั้น สาลดีกาพร้อมกันเห็นว่า ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะถือว่าได้แยกทรัพย์กันจนนับได้ว่าเปนสินส่วนตัวของจำเลยดังบัญญัติไว้ไน ป.พ.พ.มาตรา ๑๔๕๒,๑๔๖๔ แม้จะวินิฉัยตามกดหมายผัวเมีย ทรัพย์ที่ติดตัวมาเช่นนี้ ก็ไม่ไช่สินส่วนตัวตามบทที่ ๗๒ ฉนั้นทรัพย์นี้จึงเปนสมรสตามมาตรา ๑๔๖๖ และข้อกำหนดไนพินัยกัมจึงสมบูรน์ตามมาตรา ๑๖๙๖ พิพากสากลับไห้บังคับคดีตามคำพิพากสาสาลชั้นต้น