แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นการผิดถูกชอบหรือไม่นั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยคู่ความมิต้องอุทธรณ์
แม้ทนายจำเลยจะทำยอมความในศาลโดยบกพร่องในอำนาจก็ตามหากศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นก็มีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
จำเลยร้องว่าทนายจำเลยทำยอมในศาลโดยไม่มีอำนาจขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องจำเลยก็มิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์แต่อย่างไร ดังนี้ศาลชั้นต้นนั้นเองจะกลับมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่อีกหาได้ไม่เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อผิดพลาดเล็กน้อยตามที่ยกเว้นไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่สวน 1 แปลงเป็นของโจทก์ โจทก์ตั้งใจจะแบ่งด้านทิศเหนือให้จำเลย แต่จำเลยต้องช่วยแผ้วถางส่วนที่เหลือ จำเลยอาศัยอยู่ในที่ชั่วคราว ครั้น พ.ศ. 2500 จำเลยแสดงเป็นปฏิปักษ์จะเอาที่ดินทั้งแปลง จึงขอให้ขับไล่
จำเลยให้การว่า สวนยางเป็นของจำเลย
ครั้นวันที่ 16 ตุลาคม 2501 ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลโดยโจทก์แบ่งที่ให้จำเลยส่วนหนึ่ง และจำเลยยอมให้เงินโจทก์ 300 บาทศาลได้พิพากษาตามยอม
ต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม 2501 จำเลยยื่นคำร้องว่าทนายจำเลยทำสัญญายอมโดยพลการและโดยไม่มีอำนาจ จำเลยมิได้มาทำยอมเองใบแต่งทนายหาได้ระบุให้อำนาจทนายทำยอมไม่ ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ศาลมีคำสั่งวันที่ 10 พฤศจิกายน 2501 ว่าศาลไม่อาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาเพราะพิพากษาไปแล้ว ให้ยกคำร้องของจำเลย
ต่อมาวันที่ 21 มิถุนายน 2503 โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยขัดขวางในการที่เจ้าพนักงานทำการปักหลักเขต ศาลเรียกคู่ความมาพร้อมแล้วมีคำสั่งว่า ทนายทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกเหนืออำนาจ คำพิพากษาจึงไม่ผูกพันจำเลยจะบังคับจำเลยไม่ได้ ให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยเสีย ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าเมื่อศาลเห็นว่าคำพิพากษาไม่มีผล ก็ขอให้ดำเนินการพิจารณาไปเสมือนคดียังมิได้มีคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานแล้ว พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำพิพากษาตามยอมยังมีสภาพเป็นคำพิพากษาอยู่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 และยังต้องมีสภาพเป็นคำพิพากษาเสมอไปตาม มาตรา 145 แม้ทนายจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยมิได้มอบอำนาจ และจำเลยยื่นคำร้องไว้แล้วก็ดี แต่ไม่มีฝ่ายใดใช้สิทธิอุทธรณ์จนพ้นกำหนดอายุ คำพิพากษาตามยอมก็เป็นอันถึงที่สุดศาลชั้นต้นจะกลับดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เป็นการไม่ชอบ จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาลงวันที่ 28 เมษายน 2504 (ครั้งหลัง) คดีคงยุติไปตามคำพิพากษาลงวันที่ 16 ตุลาคม 2501
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาจำเลยข้อแรกที่ว่าศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งดำเนินการพิจารณาใหม่เพราะคู่ความมิได้อุทธรณ์นั้น เรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาว่าจะเป็นการผิดถูกชอบหรือไม่ เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน หาใช่เป็นปัญหาเฉพาะคู่ความในคดีดังฎีกาของจำเลยเท่านั้นไม่ ฉะนั้นศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
สำหรับฎีกาข้อ 2 นั้น เห็นว่า ทนายจำเลยซึ่งลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นทนายที่จำเลยแต่งตั้งไว้ หากแต่บกพร่องในอำนาจที่จะทำยอม และเมื่อได้มีการยอมความจนศาลพิพากษาไปตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นก็มีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เว้นแต่จะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข สำหรับคดีนี้เมื่อศาลพิพากษาไปตามยอมแล้ว จำเลยก็ทราบและในระยะเวลาต่อมาเพียง 8 วัน ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ครั้นศาลสั่งยกคำร้อง จำเลยก็ทอดทิ้งมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์หรือดำเนินการอย่างไรเลยจนต่อมาอีกถึง 1 ปี 8-9 เดือนโจทก์ขอบังคับคดีจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลจึงได้สั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ได้ความเช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อศาลสั่งไม่ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ไปแล้ว ศาลนั้นเองจะกลับคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่หาชอบไม่ เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อผิดพลาดเล็กน้อยตามที่ยกเว้นไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ฉะนั้น กระบวนพิจารณาที่ดำเนินใหม่ในตอนหลังจึงนำมาใช้บังคับไม่ได้ ส่วนจำเลยจะมีสิทธิขอให้ยกเลิกเพิกถอนคำพิพากษาได้เพียงไรหรือไม่ เป็นอีกกรณีหนึ่งต่างหากที่ไม่เกี่ยวแก่เรื่องนี้ สำหรับค่าธรรมเนียมที่โจทก์ยอมนำมาเสียใหม่นั้นเป็นการทำตามคำสั่งศาล ไม่เกิดผลทำให้เป็นฟ้องใหม่ดังฎีกาจำเลยฎีกาข้อนี้จึงตกไป
พิพากษายืน