คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรับราชการทำหน้าที่สมุห์บัญชีเกี่ยวกับการเงิน ได้รับเงินผลประโยชน์จากผู้ที่นำมาชำระ แต่มิได้นำเงินส่งคลัง ทั้งมิได้ลงบัญชีรับเงินตามระเบียบ จนกระทั่งผู้บังคับบัญชาไปตรวจลบัญชีพบการกระทำของจำเลยเป็นเวลาถึงสองเดือน แม้จำเลยจะหาเงินมาชำระคืนครบถ้วนแล้วก็ตาม นับว่าคดีมีเหตุผลเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานประจำสำนักงานป่าไม้ ทำหน้าที่เป็นสมุห์บัญชีและรับผิดชอบการเงินตลอดจนนำผลประโยชน์ส่งคลังจังหวัด จำเลยบังอาจเบียดบังเงินค่าภาคหลวง ค่าบำรุงป่าและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำฟืน รวม ๘,๐๐๑ บาท เอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยสุจริต ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกเงินรายนี้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าจำเลยทำเงินตกหาย ฟังว่าจำเลยเบียดบังเงินรายนี้เป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓ จำคุกจำเลย ๕ ปี ปราณีลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย ๒ ปี ๖ เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับราชการประจำสำนักงานป่าไม้จังหวัดพิจิตร ทำหน้าที่สมุห์บัญชีและรักษาเงินผลประโยชน์ของกรมป่าไม้ มีหน้าที่นำเงินผลประโยชน์ส่งคลังจังหวัด เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๔ จำเลยได้รับเงินค่าภาคหลวงไม้ฟืน ค่าบำรุงป่า และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำฟืน รวม ๘,๐๐๑ บาท ไว้จากนายธวัช เจ้าหน้าที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ผู้นำมาชำระตามระเบียบ จำเลยต้องลงบัญชีเงินรับและนำส่งคลังจังหวัดในตอนบ่าย ตอนบ่ายจำเลยเขียนใบนำเงินเพื่อส่งคลังให้ป่าไม้จังหวัดผู้บังคับบัญชาลงชื่อ แต่แล้วจำเลยหาได้นำเงินส่งคลังไม่ ทั้งมิได้ลงบัญชีรับเงินตามระเบียบ การกระทำของจำเลยดังกล่าวผู้บังคับบัญชาไม่ทราบ ต่อมาวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๐๔ จำเลยหาเงินได้ครบจึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จึงให้จำเลยนำเงินส่งคลังจังหวัด
ศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยรับเงินแล้วไม่ลงบัญชีและไม่นำเงินส่งคลังจังหวัดในวันเดียวกันอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของกรมป่าไม้ที่วางไว้ซึ่งจำเลยทราบดี และได้เคยปฏิบัติเป็นปกติตลอดมา จนผู้บังคับบัญชาไปตรวจบัญชีพบการกระทำของจำเลยเข้าเองภายหลังเป็นเวลาถึง ๒ เดือน ครั้นผู้บังคับบัญชาสอบถาม จำเลยก็รับว่านำเงินไปใช้หนี้คนอื่นหมด พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมาประกอบกัน มีเหตุผลเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังดัรงกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจริงตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมาชอบด้วยรูปคดีแล้ว
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย

Share