คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 56 เดือน การที่ระหว่างฎีกาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลนำคดีเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์และสันติวิธี และต่อมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าคดีมีทางตกลงกันได้โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นที่พอใจแก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 วางเงินต่อศาลชั้นต้น 883,357 บาท ซึ่งคิดเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมดที่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดพิสูจน์ต่อศาล ชดใช้ให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดเพื่อบรรเทาผลร้ายแก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด แสดงว่าจำเลยที่ 1 วางเงินจำนวนดังกล่าวโดยมีเจตนาที่จะให้โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดยอมความกับจำเลยที่ 1 ตามที่ศาลชั้นต้นได้นำคดีเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์และสันติวิธี มิใช่เพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นเหตุบรรเทาโทษจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง มิได้ขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยที่ 1 แต่เมื่อถึงวันนัดสมานฉันท์ครั้งที่ 2 ทนายโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดแถลงว่า ไม่ประสงค์จะเจรจากับฝ่ายจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 นำมูลเหตุในคดีนี้ไปฟ้องโจทก์บางคนเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวม 6 คดี และหลังจากนั้นโจทก์บางคนซึ่งได้รับหมายนัดของศาลชั้นต้นที่แจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดและได้นำเงินวางศาลจำนวน 883,357 บาทแล้ว ก็ไม่ได้มารับเงินที่จำเลยที่ 1 วางไว้ไปจากศาลชั้นต้น จนกระทั่งศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดไม่ประสงค์ที่จะยอมความกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ เมื่อคดีนี้ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาโดยไม่มีการดำเนินการตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 แล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะขอถอนเงินที่วางต่อศาลชั้นต้นดังกล่าวคืนไปได้ เพราะเมื่อจำเลยที่ 1 ขอถอนเงินที่วางศาลคืน ย่อมเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้เป็นไปตามเจตนาของจำเลยที่ 1 แล้วศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดมารับเงินก่อนจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 352 ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 14 กระทง เป็นจำคุก 56 เดือน จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ก่อนศาลชั้นต้นส่งสำนวนและคำฟ้องไปยังศาลฎีกา เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลนำคดีเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์และสันติวิธี ศาลชั้นต้นอนุญาต เมื่อถึงวันนัดพร้อม วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าคดีมีทางตกลงกันได้ โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นที่พอใจแก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด และแถลงเพิ่มเติมว่าได้เจรจากับทนายโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดแล้วว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงินให้ฝ่ายโจทก์ แต่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน เนื่องจากจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้ฝ่ายโจทก์ไปบางส่วนแล้ว และทนายโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดจะนำข้อเสนอไปให้โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดพิจารณา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีไปในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556 ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า คดีนี้เป็นความผิดอันยอมความได้และคดีมีทางที่จะตกลงกันได้ โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นที่พอใจแก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด ทั้งนี้ค่าเสียหายทั้งหมดที่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดพิสูจน์ต่อศาลได้ คิดเป็นเงิน 1,766,714 บาท ประกอบกับคดีนี้จำเลยที่ 2 ชำระเงินบางส่วนให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดแล้ว จำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะชดใช้ค่าเสียหายและเพื่อเป็นการพยายามบรรเทาผลร้ายให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด จึงขอวางเงินให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดเป็นเงิน 883,357 บาท ซึ่งคิดเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า นำฝาก แจ้งโจทก์ ครั้นถึงวันนัดสมานฉันท์ ทนายโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดแถลงว่า ไม่ประสงค์จะเจรจากับฝ่ายจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 นำมูลเหตุในคดีนี้ไปฟ้องโจทก์บางคนเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวม 6 คดี หลังจากนั้นโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดยังไม่ได้รับเงินไปจากศาล ต่อมาวันที่ 23 ธันวาคม 2557 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟัง โดยศาลฎีกาพิพากษายืน
วันที่ 23 ธันวาคม 2557 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอรับเงินที่วางต่อศาลเพื่อบรรเทาผลร้ายคืน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า มีหนังสือแจ้งผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดทราบก่อน ให้มารับเงินใน 7 วัน นับแต่ได้รับแจ้ง หากพ้นกำหนดถือว่าสละสิทธิ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการรับเงินค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 วางไว้ต่อศาลจนกว่าคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 240/2554 จะถึงที่สุด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 เห็นควรรอฟังผลคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก่อน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ให้ศาลชั้นต้นคืนเงินจำนวน 883,357 บาท ที่จำเลยที่ 1 วางต่อศาลตามคำร้องลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 แก่จำเลยที่ 1
โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 คืนเงินที่จำเลยที่ 1 วางต่อศาลให้แก่จำเลยที่ 1 ชอบหรือไม่ โดยโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฎีกาว่า จำเลยที่ 1 วางเงินโดยมีเจตนาเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นเหตุบรรเทาโทษให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลฎีกาที่จะรับฟังเพื่อการบรรเทาโทษ จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามคำร้องขอวางเงินบรรเทาผลร้ายแก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด แม้ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ควรบรรเทาโทษหรือรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ขอรับเงินดังกล่าวคืนไม่ได้ กรณีมิใช่ว่าโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดต้องมาขอรับเงินก่อนศาลฎีกามีคำพิพากษา หรือเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือศาลฎีกาต้องมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด ทั้งการที่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดไม่ประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 มิได้หมายความว่าโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดไม่ประสงค์รับเงินชดใช้เพื่อบรรเทาผลร้ายแก่คดีเพื่อเป็นเหตุปรานีให้ศาลฎีกาพิจารณาลงโทษจำเลยที่ 1 ในสถานเบา การที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอวางเงินบรรเทาความเสียหายแก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 1 จะไม่ถอนเงินดังกล่าว เมื่อโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดได้แสดงความประสงค์จะรับเงินอย่างชัดแจ้งแล้ว หากแต่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดขอขยายระยะเวลาการรับเงินออกไปก่อนเพราะมีเหตุจำเป็นที่ต้องรอผลคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 240/2554 นั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 56 เดือน การที่ระหว่างฎีกาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลนำคดีเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์และสันติวิธี และต่อมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าคดีมีทางตกลงกันได้โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นที่พอใจแก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด และแถลงเพิ่มเติมว่าได้เจรจากับทนายโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดแล้วว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงินให้ฝ่ายโจทก์ แต่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน เนื่องจากจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้ฝ่ายโจทก์ไปบางส่วนแล้ว หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 วางเงินต่อศาลชั้นต้นเป็นเงิน 883,357 บาท ซึ่งคิดเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมดที่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดพิสูจน์ต่อศาล ชดใช้ให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดเพื่อบรรเทาผลร้ายแก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด แสดงว่าจำเลยที่ 1 วางเงินจำนวนดังกล่าวโดยมีเจตนาที่จะให้โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดยอมความกับจำเลยที่ 1 ตามที่ศาลชั้นต้นได้นำคดีเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์และสันติวิธี มิใช่เพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นเหตุบรรเทาโทษจำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฎีกาข้างต้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง มิได้ขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยที่ 1 แต่เมื่อถึงวันนัดสมานฉันท์ครั้งที่ 2 ทนายโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดแถลงว่า ไม่ประสงค์จะเจรจากับฝ่ายจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 นำมูลเหตุในคดีนี้ไปฟ้องโจทก์บางคนเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวม 6 คดี และหลังจากนั้นโจทก์บางคนซึ่งได้รับหมายนัดของศาลชั้นต้นที่แจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดและได้นำเงินวางศาลจำนวน 883,357 บาทแล้ว ก็ไม่ได้มารับเงินที่จำเลยที่ 1 วางไว้ ไปจากศาลชั้นต้น จนกระทั่งศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดไม่ประสงค์ที่จะยอมความกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ เมื่อคดีนี้ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาโดยไม่มีการดำเนินการตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 แล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะขอถอนเงินที่วางต่อศาลชั้นต้นดังกล่าวคืนไปได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ขอถอนเงินที่วางศาลคืน ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดมารับเงินก่อนนั้น ย่อมเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้เป็นไปตามเจตนาของจำเลยที่ 1 แล้วและเป็นการไม่ชอบ คำพิพากษา ศาลฎีกาที่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดอ้างมานั้นมีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ไม่อาจนำมาปรับใช้กับคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share