คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิม ฝ. ฟ้อง ป. ขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณต่อมาได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าว โดย ป.ยอมคืนที่พิพาทให้ ฝ.และฝ. ยอมให้ ป. ทำกินในที่พิพาทโดย ป. ยอมให้ข้าวเปลือกแก่ ฝ.ปีละ120กิโลกรัมห้ามฝ.จำหน่ายจ่ายโอนที่พิพาท เมื่อ ฝ. ถึงแก่กรรมให้ที่พิพาทตกเป็นของ ป. ตามเดิม สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่ใช่พินัยกรรมแต่เป็นสัญญาที่ ฝ. กับ ป. ทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันและไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้วสัญญาดังกล่าวจึงมีผลบังคับได้ และการที่ตกลงกันว่า เมื่อ ฝ.ถึงแก่กรรม ให้ที่พิพาทตกเป็นของ ป. เมื่อ ฝ. ถึงแก่กรรมที่พิพาทจึงตกเป็นของ ป. ตามคำพิพากษาตามยอม มิใช่เป็นมรดกของ ฝ.

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยเรียกโจทก์สำนวนแรกและจำเลยสำนวนหลังว่าโจทก์ เรียกโจทก์สำนวนหลังและจำเลยสำนวนแรกว่าจำเลย
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์และนางปิ่นมารดาจำเลยเป็นบุตรของนางฝั้น นางฝั้นมีที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 22 ไร่เมื่อปี 2515 นางฝั้นถึงแก่กรรม ที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศเหนือตกได้แก่โจทก์ ทางด้านทิศใต้ตกได้แก่นางปิ่น ต่อมานางปิ่นขายที่ดินด้านทิศใต้ให้โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินทั้งแปลงต่อมานางปิ่นถึงแก่กรรมจำเลยอ้างว่าที่ดินทั้งแปลงเป็นของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาททั้ง 22 ไร่ โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า เมื่อปี 2510 นางฝั้นยกที่พิพาททั้งแปลงให้นางปิ่น ต่อมานางฝั้นฟ้องนางปิ่นขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ ในที่สุดมีการตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยนางปิ่นยอมคืนที่พิพาทให้นางฝั้น และให้นางปิ่นทำนาเอาข้าวให้นางฝั้นปีละ 120 กิโลกรัม จนกว่านางฝั้นจะถึงแก่กรรมเมื่อนางฝั้นถึงแก่กรรมแล้วให้ที่พิพาทตกเป็นของนางปิ่นตามเดิมศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด ต่อมานางฝั้นถึงแก่กรรมที่พิพาทจึงตกเป็นของนางปิ่นทั้งหมด นางปิ่นไม่เคยขายที่พิพาทให้โจทก์เมื่อนางปิ่นถึงแก่กรรมจำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางปิ่นศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางปิ่นแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังจำเลยฟ้องโจทก์เป็นใจความเช่นเดียวกับคำให้การสำนวนแรกและขอให้บังคับโจทก์คืนที่พิพาทให้จำเลย ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การว่า เมื่อนางฝั้นถึงแก่กรรมที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์และมารดาจำเลยคนละครึ่ง มารดาจำเลยขายที่พิพาทส่วนของตนให้โจทก์ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างนางฝั้นกับมารดาจำเลยหากมีจริงก็ไม่มีผลบังคับเพราะมิใช่พินัยกรรม และไม่เป็นหนังสือยกให้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 111 หมู่ที่ 2 ตำบลทุ่มอำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องของจำเลย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่ใช่พินัยกรรม แต่เป็นสัญญาที่นางฝั้นกับนางปิ่นทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันและเป็นสัญญาที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว สัญญาดังกล่าวจึงมีผลบังคับได้การที่ตกลงกันว่าเมื่อนางฝั้นถึงแก่กรรมให้ที่พิพาทตกเป็นของนางปิ่นเช่นนี้ เมื่อนางฝั้นถึงแก่กรรมที่พิพาททั้งแปลงจึงตกแก่นางปิ่นตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว ดังนั้น ที่พิพาทจึงมิใช่มรดกของนางฝั้นและไม่ตกแก่โจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง
พิพากษายืน

Share