แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พินัยกรรม์ต้องเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 1646 แม้เอกสารจะใช้คำว่า พินัยกรรม์และข้อความในตอนต้นอาจมีทางพอจะตีความว่าได้เป็นพินัยกรรม์ก็ดี แต่เมื่ออ่านข้อความตอนอื่นประกอบแล้ว เห็นว่าผู้ตายหาได้มีเจตนาจะทำพินัยกรรม์ไม่ หากเป็นหนังสือสัญญาซึ่งทำไว้แก่ฝ่ายสาว เวลาที่ผู้ตายจะได้จำเลยเป็นภริยาเท่านั้น การที่ผู้ตายเขียนคำว่า ขอทำพินัยกรรม์ ในตอนต้นจึงเป็นการใช้ถ้อยคำผิดดังนี้ เอกสารเช่นว่านั้น จึงไม่ใช่พินัยกรรม์
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่า จำเลยไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องในกองมฤดกของผู้ตาย และห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องในการรับมฤดกของผู้ตาย คำขอไม่ให้เกี่ยวข้องนี้กว้างมาก หากศาลพิพากษาห้ามดังโจทก์ขอแล้ว อาจไปกระทบกระเทือนสิทธิของจำเลยซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฟ้องร้องกันนี้ก็ได้ ฉะนั้นศาลจึงพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับกองมฤดกของผู้ตาย ในฐานะเป็นผู้รับมฤดก ส่วนคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนซึ่งเป็นกองมฤดกของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยานายชิต มีสมรสตามบัญชีท้ายฟ้อง จำเลยเป็นบางบำเรอ นายชิตตาย โจทก์ได้นำโฉนดที่ดิน ๒ แปลงอันเป็นสินสมรสไปประกาศรับมฤดก จำเลยคัดค้าน จึงขอให้ศาลสั่งห้าม และขับไล่จำเลยออกไปจากเรือนซึ่งเป็นกองมฤดกของนายชิต จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่ภริยานายชิต แม้จะเคยก็ขาดกันแล้ว จำเลยทราบว่านายชิตมีภริยาอีกคนหนึ่งชื่อ เชย โดยจดทะเบียนสมรส ทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้อง ไม่ใช่สินสมรสระหว่างโจทก์กับนายชิต ที่ดิน ๒ แปลงเป็นสินส่วนตัวของนายชิต นายชิตได้ทำพินัยกรรม์ยกที่ดิน ๒ แปลงให้จำเลย ศาลชั้นต้นฟังว่า นายชิตได้ทำพินัยกรรม์ยกที่ ๒ แปลงให้จำเลย ส่วนเรือนนั้นจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกับนายชิต พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์แก้ให้แบ่งที่ดิน ๒ แปลงฉะเพาะส่วนของนายชิตที่มีร่วมกับนางจาก ซึ่งถือว่าเป็นสมรสระหว่างโจทก์กับนายชิตเป็น ๓ ส่วน ตกเป็นมฤดกนายชิต ๒ ส่วน เป็นของโจทก์ ๑ ส่วน ส่วนที่เป็นมฤดกของนายชิต ให้ได้แก่จำเลยตามพินัยกรรม์ ส่วนเรือนคงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายชิต จำเลยไม่มีสิทธิได้รับ จึงห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับเรือนหลังนี้ต่อไป
โจทก์,จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารที่นายชิตทำไว้ซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นพินัยกรรม์นั้น แม้จะใช้คำว่า พินัยกรรม์ และข้อความในตอนต้น อาจมีทางพอจะตีความได้ว่า เป็นพินัยกรรม์ก็ดี แต่เมื่ออ่านข้อความตอนอื่นประกอบคือข้อที่ว่า ยอมเป็นบุตรเขย สินสอดเท่านั้น ทองหนักเท่านี้ ขืนไปอยู่กับภริยาเก่าให้ฟ้องได้ ประกอบกับมีนายเจริญรับรองว่าจะไม่ให้นายชิตคืนดีกับภริยาเก่าด้วย ศาลฎีกาเห็นว่านายชิตหาได้มีเจตนาจะทำพินัยกรรม์ไม่ แต่หากเป็นสัญญาซึ่งทำให้แก่ฝ่ายสาว เวลานายชิตจะได้กับจำเลยเท่านั้น การที่นายชิตเขียนคำว่า ขอทำพินัยกรรม์ในตอนต้น แทนที่จะใช้คำว่า ขอให้สัญญา หรือขอทำสัญญายิ่งอ่านข้อ ๑ ในเอกสารนี้ ที่ว่า ขอทำพินัยกรรม์ว่าจะไม่ให้ภริยาเก่ามาเกี่ยวข้องในนา และข้อ ๓ ที่ว่า ถ้านายชิตตาย หรือขืนไปอยู่กับภริยาเก่า ที่ทิ้งหย่ากันแล้วนั้น ขอให้นำพินัยกรรม์นี้ไปฟ้องร้องยังโรงศาล ประกอบด้วยแล้วยิ่งเห็นว่า เป็นการใช้ถ้อยคำผิดแน่ ที่จะเป็นพินัยกรรม์ ต้องเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๖๔๖ เอกสารนี้จึงไม่ใช่พินัยกรรม์ เมื่อเอกสารฉะบับนี้ ไม่ใช่พินัยกรรม์ ข้อที่ว่าควรแบ่งทรัพย์ระหว่างโจทก์กับนายชิตคนละครึ่ง ก็ไม่ต้องวินิจฉัย
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าจำเลยไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องในการรับมฤดกของนายชิต, คำขอไม่ให้เกี่ยวข้องนี้กว้างมาก หากศาลพิพากษาห้ามดังโจทก์ขอแล้ว อาจไปกระทบกระเทือนสิทธิของจำเลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฟ้องร้องกันได้ เมื่อพิเคราะห์ถึงคำพรรณาในคำฟ้องประกอบกับคำขอท้ายฟ้องแล้ว เห็นว่าโจทก์ขอให้ศาลแสดงว่าจำเลยไม่มีสิทธิที่จะได้รับมฤดกนายชิต และขอห้ามอย่าให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับกองมฤดกของนายชิต ในฐานะเป็นผู้รับมฤดก ศาลจึงพิพากษาให้อย่างนั้น ส่วนคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปจากเรือน ซึ่งเป็นกองมฤดกของนายชิตด้วยนั้น ก็เช่นเดียวกัน
พิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่มีสิทธิจะรับมฤดกนายชิต และห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับกองมฤดกนายชิต ในฐานะเป็นผู้รับมฤดก