คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อรถคันพิพาทหลายงวด และได้ทำบันทึกข้อตกลงกับจำเลยว่าโจทก์จะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง 50,000 บาทให้จำเลย และฝ่ายจำเลยจะไปต่อทะเบียนเสียภาษีรถให้โจทก์โดยนัดกันวันที่ 15 มีนาคม 2530 ข้อตกลงดังกล่าวแสดงว่า จำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นข้อสาระสำคัญ จำเลยจะบอกเลิกสัญญาเพราะเหตุโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อไม่ได้แต่ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำขึ้นกันใหม่ดังกล่าวเมื่อจำเลยผิดข้อตกลง โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ และผลแห่งการบอกเลิกสัญญาย่อมทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ส่วนจำเลยต้องคืนค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ เมื่อโจทก์เช่าซื้อรถคันพิพาทจากจำเลยแล้วได้ทำการซ่อมแซมรถหลายรายการ เช่น เปลี่ยนเฟืองท้ายโช้คอัพ เพลากลาง การซ่อมแซมดังกล่าวมิใช่ค่าใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซมเล็กน้อย แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรเพื่อรักษารถคันพิพาทให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 547

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2528 โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์โดยสารประจำทาง จากจำเลยโจทก์ได้รับรถจากจำเลยแล้วต้องปรับปรุงซ่อมแซมหลายอย่างเป็นเงิน 127,160 บาท และซื้อเบาะเปลี่ยนใหม่ 27 ตัวเป็นเงิน 7,000 บาท นับแต่วันทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยเรื่อยมาจนถึงเดือนตุลาคม 2529 โจทก์ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อเพราะรถยังต่อทะเบียนเสียภาษีไม่ได้ สำนักงานขนส่งจังหวัดนครศรีธรรมราชอ้างว่าเลขคัสซีไม่ถูกต้อง ครั้นเมื่อวันที่ 22กุมภาพันธ์ 2530 โจทก์นำรถออกรับส่งคนโดยสารอีกครั้งจึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม เมื่อเสียค่าปรับแล้วจำเลยมายึดรถคืนไปอ้างว่าโจทก์ค้างค่าเช่าซื้อ 3 งวด ติดต่อกัน โจทก์จำเลยจึงตกลงกันว่าโจทก์จะนำเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างรวม 4 งวด เป็นเงิน50,000 บาท ไปชำระให้จำเลยในวันที่ 15 มีนาคม 2530 และในเวลาเดียวกันจำเลยจะต้องต่อทะเบียนเสียภาษีรถให้โจทก์เป็นที่เรียบร้อยด้วย ต่อมาเมื่อถึงวันนัด โจทก์ได้เตรียมเงิน 50,000 บาทเป็นตั๋วแลกเงินธนาคารออมสิน ไปชำระให้จำเลย แต่จำเลยกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมต่อทะเบียนเสียภาษีให้โจทก์ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ จำเลยต้องรับผิดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระให้จำเลยแล้ว 250,000 บาท กับค่าซ่อมแซมรถ 127,160 บาท ค่าซื้อเบาะใหม่ 7,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 484,160 บาท แต่โจทก์ยอมให้จำเลยหักเป็นค่าขาดประโยชน์ที่ไม่ได้ใช้รถเป็นเงิน 100,000บาท คงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องคืนให้โจทก์ 384,160 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินให้โจทก์ 384,160 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ โดยผิดนัดชำระงวดที่ 9 วันที่ 15 กันยายน 2529 จำเลยยังไม่บอกเลิกสัญญากลับผ่อนผันให้โจทก์ แต่โจทก์ผิดนัดในงวดที่ 12, 13 และ 14 อีกจำเลยจึงมีสิทธิเข้าครอบครองรถและริบเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระให้จำเลย เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2530 โจทก์ไม่ได้นำเงินค่าเช่าซื้อที่ค้าง 50,000 บาท ไปชำระให้จำเลย แต่ในวันที่ 15มีนาคม 2530 โจทก์นำตั๋วแลกเงินธนาคารออมสิน สั่งจ่ายนางช่วย ลิ้มวงศ์ เพื่อมอบให้แก่จำเลย แต่จำเลยไม่ยอมรับโดยจำเลยบอกว่าถ้าสลักหลังโอนให้แก่จำเลย จำเลยก็ยอมรับและคืนรถให้แก่โจทก์ แต่โจทก์และนางช่วยไม่ยินยอม โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อสัญญาเช่าซื้อเป็นอันระงับจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินให้โจทก์ส่วนเรื่องการต่อทะเบียนเสียภาษีรถนั้น หลังจากโจทก์รับมอบรถจากจำเลยแล้ว โจทก์ได้ทำการติดต่อขอต่อทะเบียนเสียภาษีรถยนต์ประจำปี2529 ด้วยตนเอง และทะเบียนดังกล่าวจะหมดอายุวันที่ 31 ธันวาคม 2529ส่วนการต่อทะเบียนเสียภาษีประจำปี 2530 นั้นโจทก์ดำเนินการด้วยตนเองอีก แต่มีเหตุขัดข้องเนื่องจากโจทก์ซ่อมแซมรถหลายอย่างเลขคัสซีจึงไม่ถูกต้อง ทางสำนักงานขนส่งจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงไม่สามารถจัดการให้ได้ จำเลยจึงไปให้การยืนยันและยินยอมแต่ก็ต้องให้เจ้าหน้าที่จากกรุงเทพมหานครมาตรวจสภาพจึงทำให้ล่าช้าไปกว่ากำหนดโจทก์จึงเอาสาเหตุนี้มาบอกเลิกสัญญา สำหรับค่าซ่อมแซมรถเป็นการซ่อมแซมตามปกติตามสภาพของการใช้รถเพื่อประโยชน์ของโจทก์เองไม่มีสัญญาให้ผู้ให้เช่าซื้อเป็นผู้ออกค่าซ่อมแซม จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 189,160 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท สำหรับค่าธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้นให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์55,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ 2,000 บาท สำหรับค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระตามจำนวนทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยโจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่าโจทก์ได้เช่าซื้อรถคันพิพาทจากจำเลยในราคา500,000 บาท ปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.1 ชำระราคาในวันทำสัญญา 100,000 บาท ส่วนที่เหลือแบ่งชำระเป็นรายเดือนเดือนละ 15,000 บาท เป็นเวลา 12 เดือน ต่อจากนั้น เดือนละ10,000 บาท จนกว่าจะครบ หลังจากส่งมอบรถแล้วโจทก์ได้ซ่อมแซมรถหลายรายการ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 เมื่อทะเบียนเสียภาษีรถคันพิพาทจะหมดอายุในวันที่ 31 ธันวาคม 2529 โจทก์จึงไปขอจดทะเบียนเสียภาษีรถยนต์ประจำปี 2530 แต่ไม่อาจดำเนินการได้เจ้าหน้าที่แจ้งเหตุขัดข้องว่าเลขคัสซีไม่มี โจทก์ยังคงนำรถคันพิพาทออกวิ่งรับส่งคนโดยสารจึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม เมื่อเสียค่าปรับแล้วจำเลยนำรถคันพิพาทไปเก็บรักษา
ประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์จำเลยมีว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดในค่าซ่อมแซมรถคันพิพาทหรือไม่เพียงใดในประเด็นแรกข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เคยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อรถคันพิพาทหลายงวด รวมเป็นเงิน 50,000 บาท ได้มีการทำบันทึกข้อตกลงไว้ที่สถานีตำรวจปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2, จ.4และ จ.7 ซึ่งร้อยตำรวจตรีจรัส ศิริพันธ์ ได้เบิกความรับรองยืนยันความถูกต้องของเอกสารดังกล่าว เอกสารหมาย จ.2 มีข้อความโดยสรุปว่าโจทก์จะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง 50,000 บาท ให้จำเลยและฝ่ายจำเลยจะไปต่อทะเบียนเสียภาษีรถให้โจทก์ให้แล้วเสร็จ โดยนัดกันในวันที่ 15 มีนาคม 2530 ข้อความดังกล่าวแสดงว่าโจทก์จำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นข้อสาระสำคัญอีกต่อไป ดังนั้นจะถือว่าโจทก์ผิดนัดผิดสัญญาไม่ได้ จำเลยจะบอกเลิกสัญญา เพราะเหตุนี้ยังไม่ได้ แต่ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำขึ้นกันใหม่ดังกล่าว แต่ครั้นถึงวันนัดวันที่ 15 มีนาคม 2530โจทก์ได้เตรียมตั๋วแลกเงินจำนวน 50,000 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งมีชื่อนางช่วย ลิ้มวงศ์ ในตั๋วแลกเงิน ซึ่งนางช่วยเบิกความว่า สามารถที่จะสลักหลังโอนไปได้เลย โจทก์ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงในเอกสารหมาย จ.2 แล้ว แต่ฝ่ายจำเลยไม่ได้นำทะเบียนรถมาอ้างว่าจำเลยไปติดต่อเจ้าหน้าที่แล้วยังไม่ได้ทะเบียนมา ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.4 จึงเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดข้อตกลง ซึ่งย่อมมีผลเท่ากับว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อเพราะโจทก์ไม่สามารถใช้สอยทรัพย์ที่เช่าซื้อตามสัญญาได้ตามปกติโจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้และผลแห่งการบอกเลิกสัญญา ย่อมทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม กล่าวคือโจทก์ต้องคืนรถคันพิพาทให้จำเลย และต้องใช้เงินตามค่าแห่งการใช้สอยรถคันพิพาทให้แก่จำเลยด้วย ส่วนจำเลยก็ต้องคืนค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์ใช้เงินให้จำเลยเดือนละ 15,000 บาท รวมเป็นเงิน 195,000 บาทนั้นเป็นการสมควรแล้ว และเมื่อหักจากเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยต้องคืนให้โจทก์ 250,000 บาท แล้วจำเลยคงต้องชำระเงินให้โจทก์55,000 บาท นั้นเป็นการถูกต้องและสมควรแล้ว
สำหรับประเด็นวินิจฉัยข้อสองที่ว่า จำเลยต้องรับผิดในค่าซ่อมแซมรถคันพิพาทหรือไม่เพียงใดนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อโจทก์เช่าซื้อรถคันพิพาทจากจำเลยแล้วได้ทำการซ่อมแซมรถคันพิพาทหลายรายการเช่น เปลี่ยนเฟืองท้าย โช้กอัพ เพลากลาง ตามเอกสารหมาย จ.5 รวมเป็นเงิน 127,160 บาท นอกจากนี้ยังต้องเปลี่ยนเบาะใหม่อีกเป็นเงิน 7,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.6 ศาลฎีกาเห็นว่าการซ่อมแซมดังกล่าวมิใช่ค่าใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซมเล็กน้อย แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรเพื่อรักษารถคันพิพาทให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานและรับส่งคนโดยสารได้ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 547 แต่เนื่องจากโจทก์เป็นฝ่ายได้รับประโยชน์ภายหลังการซ่อมแซม เพราะเป็นผู้ใช้รถแล่นรับส่งผู้โดยสารทั้งการใช้รถเช่นนั้นย่อมทำให้มีการเสื่อมสภาพลง พิเคราะห์แล้วสมควรกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงิน 80,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำขอส่วนนี้ของโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 135,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share