คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2712/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การ ขอแก้ไขคำขอท้ายฟ้องซึ่ง พิมพ์ผิดพลาดให้ตรงกับที่ บรรยายฟ้องมาในตอนต้นเป็นการ แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย ไม่อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา180ที่ต้องขอแก้ไขก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยาน ปัญหาว่า ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อจำเลยที่2และที่3มิได้ยกขึ้นต่อสู้ตั้งแต่ศาลชั้นต้นโดยยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ส่วนจำเลยที่1ให้การว่าฟ้องเคลือบคลุมเนื่องจาก เอกสารท้ายฟ้องมีข้อความขัดกันกับคำฟ้องแต่อุทธรณ์และฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุมโดยเหตุอื่นจึงถือว่ามิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง และ แก้ไข คำฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย ที่ 1 ชำระ เงิน จำนวน4,595,915.64 บาท แก่ โจทก์ พร้อม ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ 15 ต่อ ปีของ ต้นเงิน 2,950,000 บาท นับ ถัด จาก วันฟ้อง เป็นต้น ไป จนกว่าจะ ชำระ เสร็จ ให้ จำเลย ที่ 2 ร่วมรับผิด กับ จำเลย ที่ 1 ชำระ เงินจำนวน 1,823,630.13 บาท แก่ โจทก์ พร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ15 ต่อ ปี ของ ต้นเงิน 1,500,000 บาท นับ ถัด จาก วันฟ้อง เป็นต้น ไปจนกว่า จะ ชำระ เสร็จ และ จำเลย ที่ 3 ร่วมรับผิด กับ จำเลย ที่ 1 ชำระ เงินจำนวน 1,637,465.75 บาท แก่ โจทก์ พร้อม ด้วย ดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ 15 ต่อ ปี ของ ต้นเงิน 1,500,000 บาท นับ ถัด จาก วันฟ้องเป็นต้น ไป จนกว่า ชำระ เสร็จ
จำเลย ที่ 1 ให้การ ว่า จำเลย ที่ 1 ไม่เคย นำ ตั๋วสัญญาใช้เงินไป ขาย ลด แก่ โจทก์ ใน นาม ของ จำเลย ที่ 1 และ จำเลย ที่ 1 ไม่เคย ลงลายมือชื่อ สลักหลัง ตั๋วสัญญาใช้เงิน ดังกล่าว ลายมือชื่อ ด้านหลังตั๋วสัญญาใช้เงิน ดังกล่าว เป็น ลายมือชื่อ ที่ โจทก์ กับพวก ได้ ร่วมกันทำ ปลอม ขึ้น ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตาม เอกสาร ท้าย คำฟ้อง หมายเลข 2ถึง หมายเลข 9 แสดง อยู่ ใน ตัว แล้ว ว่า จำเลย ที่ 1 ได้ ทำนิติกรรม ต่าง ๆใน ฐานะ ตัวแทน ของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อึ้งจิบฮะ มา โดย ตลอด มิได้ ทำ ใน ฐานะ ส่วนตัว และ ฟ้อง ของ โจทก์ เคลือบคลุม อัตรา ดอกเบี้ย ที่ กำหนดไว้ ใน เอกสาร ท้าย คำฟ้อง หมายเลข 10 สูง เกินกว่า ที่ กฎหมาย กำหนด ไว้ใน ส่วน ดอกเบี้ย จึง ตกเป็น โมฆะ โจทก์ มิได้ บอกเลิก สัญญา ก่อน ฟ้องขอให้ ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ให้การ และ แก้ไข คำให้การ ว่า จำเลย ที่ 2และ ที่ 3 ไม่ได้ ทำ สัญญาค้ำประกัน หนี้ ของ จำเลย ที่ 1 วันที่ 22กุมภาพันธ์ 2526 ตาม ฟ้อง เมื่อ วันที่ 26 ตุลาคม 2524 จำเลย ที่ 2และ ที่ 3 ได้ ทำ สัญญาค้ำประกัน หนี้ จำเลย ที่ 1 แก่ โจทก์ ใน การ ที่จำเลย ที่ 1 นำ ตั๋วสัญญาใช้เงิน มา ขาย ลด แก่ โจทก์ ใน วงเงิน 1,500,000บาท มี กำหนด ระยะเวลา 6 เดือน นับแต่ วัน ทำ สัญญา ซึ่ง ครบ กำหนดภายใน วันที่ 26 เมษายน 2525 แต่ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตาม ฟ้อง จำเลย ที่ 1นำ ไป ขาย ให้ แก่ โจทก์ ภายหลัง จาก วันที่ 26 เมษายน 2525 แล้ว ไม่อยู่ ในกำหนด เวลา ที่ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ต้อง รับผิด ขอให้ ยกฟ้อง
โจทก์ ยื่น คำร้องขอ แก้ไข คำฟ้อง ภายหลัง ชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ว่า มีเหตุอันสมควร อนุญาต ให้ แก้ไข คำฟ้อง จำเลย ที่ 3 คัดค้าน
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ที่ 1 ชำระ เงิน แก่ โจทก์ จำนวน4,595,915.64 บาท พร้อม ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ 15 ต่อ ปี ของ ต้นเงิน2,950,000 บาท นับ ถัด จาก วันฟ้อง เป็นต้น ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จโดย ให้ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ร่วมรับผิด ชำระ เงิน แก่ โจทก์ คน ละ1,500,000 บาท
โจทก์ และ จำเลย ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ จำเลย ที่ 2 ร่วมรับผิดชำระ เงิน 1,500,000 บาท แก่ โจทก์ พร้อม ด้วย ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ7.5 ต่อ ปี นับแต่ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2530 กับ ให้ จำเลย ที่ 3ร่วมรับผิด ชำระ เงิน 1,500,000 บาท แก่ โจทก์ พร้อม ด้วย ดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อ ปี นับแต่ วันที่ 9 กันยายน 2531 เป็นต้น ไปจนกว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 จะ ชำระ เสร็จ นอกจาก ที่ แก้ คง ให้ เป็น ไป ตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้น
จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “คดี มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลยทั้ง สาม หลาย ประการ เบื้องต้น เห็นควร วินิจฉัย ปัญหา ตาม ฎีกา ของจำเลย ที่ 3 ที่ คัดค้าน คำสั่ง ระหว่าง พิจารณา ของ ศาลชั้นต้น ที่ อนุญาตให้ โจทก์ แก้ไข คำขอ ท้ายฟ้อง ข้อ 3 จาก คำ ว่า จำเลย ที่ 2 เป็น คำ ว่าจำเลย ที่ 3 ซึ่ง เดิม คำขอ ท้ายฟ้อง ข้อ 3 มี ข้อความ ขอ บังคับ ให้จำเลย ที่ 2 ร่วมรับผิด กับ จำเลย ที่ 1 เป็น ข้อความ ขอ บังคับ ให้จำเลย ที่ 3 ร่วมรับผิด กับ จำเลย ที่ 1 โดย จำเลย ที่ 3 ฎีกา ว่า คำฟ้องใน ส่วน ที่ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 3 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มา แต่ แรก การ ขอแก้ไข คำฟ้อง จึง เท่ากับ เป็น การ แก้ไข คำฟ้อง ที่ ไม่สมบูรณ์ มา แต่ ต้นให้ มีผล สมบูรณ์ ตาม กฎหมาย และ บังคับ จำเลย ที่ 3 ได้ ทั้ง เป็น การขอแก้ไข คำฟ้อง อย่างมาก และ เป็น การ ขอแก้ไข หลังจาก ที่ ได้ มี การชี้สองสถาน ไป แล้ว จึง ต้องห้าม ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180 นั้น พิเคราะห์ แล้ว เห็นว่า คำฟ้อง โจทก์ บรรยาย ถึง สาเหตุความรับผิด ของ จำเลย ทั้ง สาม โดย จำเลย ที่ 1 รับผิด ใน ฐานะ เป็นผู้ทำสัญญา ขาย ลด ตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 รับผิด ใน ฐานะผู้ค้ำประกัน รวมทั้ง ได้ บรรยาย จำนวนเงิน ที่ จำเลย แต่ละ คน ต้อง รับผิดซึ่ง เป็น จำนวน ที่ แตกต่าง กัน มา ด้วย โดยเฉพาะ จำเลย ที่ 3 โจทก์ บรรยายฟ้อง ว่า จำเลย ที่ 3 จะ ต้อง ร่วมรับผิด กับ จำเลย ที่ 1 เป็น เงิน1,637,465.75 บาท ส่วน คำขอ ท้ายฟ้อง ข้อ 1 ข้อ 2 และ ข้อ 3 เป็นคำขอบังคับ ที่ สืบเนื่อง มาจาก คำฟ้อง โจทก์ ที่ บรรยาย มา ใน ตอนต้นซึ่ง ตาม คำขอ ท้ายฟ้อง ข้อ 2 และ ข้อ 3 ที่ ขอให้ บังคับ จำเลย ที่ 2รับผิด ร่วม กับ จำเลย ที่ 1 ต่อ โจทก์ นั้น เป็น การ ขอ บังคับ จำเลย ที่ 2ซ้ำ กัน เมื่อ พิจารณา จำนวนเงิน ที่ โจทก์ ขอให้ บังคับ จำเลย ที่ 2รับผิด ร่วม กับ จำเลย ที่ 1 ตาม คำขอ ท้ายฟ้อง ข้อ 2 ปรากฏว่า มี จำนวนตรง กับ ที่ บรรยายฟ้อง ให้ จำเลย ที่ 2 รับผิด คือ จำนวนเงิน 1,823,630.13บาท ส่วน จำนวนเงิน ตาม คำขอ ท้ายฟ้อง ข้อ 3 ตรง กับ ที่ บรรยายฟ้องให้ จำเลย ที่ 3 รับผิด จึง เป็น ที่ เห็น ได้ ชัดเจน ว่า คำขอ ท้ายฟ้องข้อ 2 และ ข้อ 3 ที่ ขอให้ บังคับ จำเลย ที่ 2 ผู้เดียว รับผิด ร่วม กับจำเลย ที่ 1 ต่อ โจทก์ นั้น เกิดจาก การพิมพ์ ผิดพลาด ตาม ที่ โจทก์ อ้างใน คำร้องขอ แก้ไข คำฟ้อง โดย พิมพ์ คำ ว่า จำเลย ที่ 3 ใน คำขอ ท้ายฟ้องข้อ 3 เป็น คำ ว่า จำเลย ที่ 2 ไป การ ขอแก้ไข คำฟ้อง ตาม คำขอ ท้ายฟ้องข้อ 3 ที่ ขอให้ บังคับ จำเลย ที่ 2 เป็น ขอให้ บังคับ จำเลย ที่ 3ให้ ตรง กับ ที่ บรรยายฟ้อง มา ใน ตอนต้น จึง เป็น การ แก้ไข ข้อผิดพลาดบกพร่อง ใน คำฟ้อง เพียง เล็กน้อย ไม่อยู่ ใน บังคับ ที่ จะ ต้อง ปฏิบัติ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ที่ จะ ต้อง ขอแก้ไขก่อน วันชี้สองสถาน หรือ ก่อน วันสืบพยาน ที่ ศาลชั้นต้น อนุญาต ให้ โจทก์แก้ไข คำฟ้อง จึง ชอบแล้ว และ การ ที่ โจทก์ ฟ้อง จำเลย ที่ 3 และ บรรยายฟ้องถึง ความรับผิด ของ จำเลย ที่ 3 รวมทั้ง จำนวนเงิน ที่ จำเลย ที่ 3ต้อง รับผิด ก็ โดย ประสงค์ จะ ขอ บังคับ ให้ จำเลย ที่ 3 รับผิด ตาม คำฟ้องแต่ เหตุ ที่ ระบุ คำขอ ท้ายฟ้อง ข้อ 3 เป็น จำเลย ที่ 2 เป็น เพราะพิมพ์ ผิด ไป จึง ถือไม่ได้ว่า คำฟ้อง โจทก์ ใน ส่วน ที่ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 3ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มา แต่ แรก ดัง ที่ จำเลย ที่ 3 ฎีกา ฎีกา ของ จำเลย ที่ 3ใน ปัญหา นี้ ฟังไม่ขึ้น
ปัญหา ที่ ต้อง วินิจฉัย ต่อไป ตาม ฎีกา ของ จำเลย ทั้ง สาม ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม หรือไม่ เห็นว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 มิได้ ยก เรื่องฟ้องเคลือบคลุม เป็น ประเด็น ต่อสู้ มา ตั้งแต่ ศาลชั้นต้น แม้ จำเลย ที่ 2และ ที่ 3 จะ ยก เรื่อง ฟ้องเคลือบคลุม ขึ้น อ้าง ใน ชั้นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ ภาค 2 วินิจฉัย ให้ ก็ เป็น การ วินิจฉัย ที่ ไม่ชอบ ต้อง ถือว่าเป็น ข้อ ที่ มิได้ ยกขึ้น ว่า กัน มา แล้ว โดยชอบ ใน ศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์และ ปัญหา ว่า ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม หรือไม่ นี้ ไม่ใช่ ปัญหา อัน เกี่ยว ด้วยความสงบ เรียบร้อย ของ ประชาชน ศาลฎีกา รับ วินิจฉัย ให้ ไม่ได้ ส่วน ที่จำเลย ที่ 1 ฎีกา ว่า ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม นั้น จำเลย ที่ 1 ให้การตัด ฟ้อง ว่า ฟ้องโจทก์ เป็น ฟ้องเคลือบคลุม เนื่องจาก เอกสาร ท้ายฟ้องของ โจทก์ มี ข้อความ ขัด กัน กับ คำฟ้อง ของ โจทก์ จึง เป็นเหตุ ให้ จำเลย ที่ 1ไม่สามารถ ที่ จะ เข้าใจ คำฟ้อง ของ โจทก์ ได้ แต่ ใน ชั้นอุทธรณ์ จำเลย ที่ 1มิได้ อุทธรณ์ ว่า ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม ตาม ที่ ให้การ ไว้ กลับ อุทธรณ์ ว่าฟ้องโจทก์ บรรยาย ว่า มี การ ทำ สัญญาค้ำประกัน ปี 2524 ต่อมา ปี 2528จำเลย ที่ 1 มา ทำ สัญญา ขาย ลด ตั๋วสัญญาใช้เงิน ทำให้ จำเลย ทั้ง สามไม่สามารถ เข้าใจ คำฟ้อง ของ โจทก์ ได้ ส่วน ใน ชั้นฎีกา จำเลย ที่ 1ฎีกา ว่า ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม เพราะ มิได้ ขอ บังคับ จำเลย ที่ 3 เป็น ฟ้องที่ ไม่สมบูรณ์ มา แต่ ต้น ที่ โจทก์ มา ขอแก้ไข คำฟ้อง หลังจาก มี การชี้สองสถาน แล้ว เป็น การ ต้องห้าม ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180 การ ที่ ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง อนุญาต จึง เท่ากับ เป็น การวินิจฉัยชี้ขาด เบื้องต้น ใน ปัญหาข้อกฎหมาย ทำให้ จำเลย ที่ 3เสียเปรียบ ใน การ ต่อสู้ คดี คำฟ้อง โจทก์ จึง เคลือบคลุม มา แต่ แรก เช่นนี้เหตุ ที่ จำเลย ที่ 1 อ้างว่า ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม ใน ฎีกา จึง เป็นคน ละ เรื่อง แตกต่าง จาก ที่ อ้าง ใน ศาลชั้นต้น และ ใน ศาลอุทธรณ์ถือว่า ฎีกา ของ จำเลย ที่ 1 เรื่อง ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม มิได้ เป็นข้อ ที่ ยกขึ้น ว่า กัน มา แล้ว ใน ศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกา ไม่รับ วินิจฉัย ”
พิพากษายืน

Share