คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้ใช้เงินตามเช็คที่จำเลยที่ 1เป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2,3,4 เป็นผู้สลักหลังต่อมาจำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ศาลชั้นต้นให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 เสียและอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 4 ชำระเงินตามจำนวนในเช็ค คดีถึงที่สุด ดังนี้ แม้ต่อมาที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษรับคำขอประนอมหนี้ของจำเลยที่ 1ซึ่งขอชำระหนี้เพียงร้อยละ 10 และศาลเห็นชอบด้วยแล้วจำเลยที่ 4 ก็จะขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 4 ตามคำพิพากษาเพียงร้อยละ 10มิได้ เพราะตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 56 นั้นการประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้ว ผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่อง หนี้ซึ่งอาจขอรับชำระได้จากลูกหนี้ในคดีล้มละลายเท่านั้น ไม่มีผลผูกมัดถึงเจ้าหนี้ของลูกหนี้คนอื่นและในคดีอื่น ทั้งการที่เจ้าหนี้ต้องถูกผูกมัดตามข้อตกลงในการประนอมหนี้นั้นก็ไม่ใช่การปลดหนี้ตามมาตรา 340 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะโจทก์มิได้แสดงเจตนาต่อ จำเลยที่ 1 ว่าจะปลดหนี้ให้

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายให้แก่โจทก์รวม 6 ฉบับ เป็นเงิน 200,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้สลักหลังโจทก์นำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงขอให้บังคับจำเลยทั้ง 4 ร่วมกันใช้เงิน 200,000 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์

จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้คดี แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดศาลชั้นต้นจึงให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 และอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 คงดำเนินคดีต่อมาเฉพาะจำเลยที่ 4

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้นายเกตุ แรงเพชร จำเลยที่ 4ชำระหนี้ตามมูลหนี้เช็ค 4 ฉบับให้โจทก์เป็นเงิน 112,480 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์และจำเลยที่ 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาพิพากษายืน

ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้นายเกตุ แรงเพชร จำเลยที่ 4 ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน

ต่อมาจำเลยที่ 4 ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 24 ตุลาคม 2520 ความว่าจำเลยที่ 4เห็นว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 4 เพียง 11,248 บาท มิใช่ 112,480บาท ตามคำบังคับของศาล เพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.63/2515 ของศาลแพ่ง ได้ยื่นคำขอประนอมหนี้และที่ประชุมเจ้าหนี้ได้มีมติพิเศษรับคำขอประนอมหนี้ของจำเลยที่ 1 และศาลแพ่งได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยในการประนอมหนี้ จึงมีผลผูกมัดโจทก์ในคดีนี้ ทำให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เพียงร้อยละ 10 เท่ากับ 11,248 บาท เพราะมูลหนี้ของโจทก์ ในคดีนี้กับในคดีล้มละลายดังกล่าวเป็นหนี้ตามเช็ครายเดียวกันตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่า โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 4 ตามคำพิพากษาของศาลคดีนี้เพียง 11,248บาท และขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำบังคับเสียใหม่

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้ยำคำร้อง

จำเลยที่ 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 56นั้น การประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้ว ผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระได้จากลูกหนี้ในคดีล้มละลายนั้นเท่านั้น ไม่มีผลผูกมัดถึงเจ้าหนี้ของลูกหนี้คนอื่นและในคดีอื่น ฉะนั้นหนี้ที่โจทก์ขอรับชำระจากจำเลยที่ 1 ในคดีล้มละลายอันจะได้รับชำระเพียงร้อยละ 10 เพราะผลแห่งการประนอมหนี้ จึงเป็นคนละส่วนกับหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ที่โจทก์มีสิทธิได้รับโดยสิ้นเชิงจากจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 จะอ้างบทบัญญัติมาตรา 56 มาเป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ และการที่เจ้าหนี้ต้องถูกผูกมัดตามข้อตกลงในการประนอมหนี้ในคดีล้มละลายก็ไม่ใช่การปลดหนี้ตามมาตรา 340 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะโจทก์มิได้แสดงเจตนาต่อจำเลยที่ 1 ว่าจะปลดหนี้ให้ ทั้งปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาหมายเลข 1 ท้ายคำร้องของจำเลยที่ 4 ว่า ที่โจทก์คดีนี้ร้องขอรับชำระหนี้ในคดีที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องล้มละลายนั้น ศาลอนุญาตให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จำนวน 112,480 บาท ได้โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากผู้สลักหลังเช็คเพียงใด ก็ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงไปเพียงนั้น แสดงว่าโจทก์มีสิทธิที่จะขอรับชำระหนี้จากผู้สลักหลังเช็คคือจำเลยที่ 4 ในจำนวนหนี้ทั้งหมดได้ก่อนหากได้รับชำระหนี้ไม่ครบ โจทก์ยังไปขอรับชำระจากจำเลยที่ 1 ในคดีล้มละลายได้อีก การที่ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยที่ 4 ปฏิบัติตามคำพิพากษาจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share