คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิทธิในบำเหน็จตกทอดไม่ใช่มรดกของผู้ตาย
คำว่า บุตร ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2500 หมายความถึงบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย หาใช่บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองไม่
บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว.ไม่มีสิทธิรับบำเหน็จตกทอด
ผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะของผู้ตาย มีสิทธิในบำเหน็จตกทอดต่อเมื่อ ไม่มีทายาทดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 43(1)(2) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าคนเป็นบุตรผู้เยาว์ของนายย้อย หนูหลง อันเกิดจากนางหนูเอียด หนูหลง นายย้อย หนูหลง ได้ให้การรับรองโดยเปิดเผยว่าเป็นบุตร และได้ให้ความอุปการะเลี้ยงดูตลอดมาศาลจังหวัดพัทลุงได้มีคำสั่งว่าโจทก์ทั้งหมดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายย้อย หนูหลง ก่อนถึงแก่กรรม นายย้อย หนูหลง รับราชการเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นถูกคนร้ายลอบทำร้ายถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งหมดได้ยื่นเรื่องราวขอรับบำเหน็จตกทอดตามสิทธิที่ควรจะได้ตามกฎหมาย แต่จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่านางคล้อย เกตแสง ซึ่งอ้างว่าเป็นภรรยาของนายย้อย หนูหลง มีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดแต่ผู้เดียวโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับ ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งหมดเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดของนายย้อย หนูหลง เป็นเงิน 24,975 บาท จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งห้าไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายย้อย หนูหลงไม่มีสิทธิรับบำเหน็จตกทอด ที่ศาลจังหวัดพัทลุงสั่งว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นบุตรของนายย้อย หนูหลงเป็นคำสั่งหลังจากนายย้อย หนูหลง ถึงแก่กรรมแล้ว ไม่มีผลย้อนหลัง

วันนัดชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า ผู้เยาว์ทั้งห้าคนตามฟ้องเป็นบุตรของนายย้อย หนูหลง อันเกิดจากนางหนูเอียด หนูหลง แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส นายย้อย หนูหลง ได้ให้การรับรองโดยเปิดเผยว่าผู้เยาว์ทั้งห้าคนเป็นบุตร และให้การอุปการะเลี้ยงดูตลอดมาจริง แต่นายย้อย หนูหลง ไม่จดทะเบียนผู้เยาว์ทั้งห้าว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย แล้วต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับกัน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดของนายย้อย หนูหลง สามส่วน แต่ไม่สามารถกำหนดจำนวนเงินแน่นอนได้ เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าบำเหน็จตกทอดทั้งหมดมีเท่าใด ทายาทอื่นมีหรือไม่

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ฐานะของโจทก์ทั้งห้าเป็นบุตรที่บิดารับรองแล้วจะเท่าเทียมกับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นได้แต่เฉพาะในเรื่องการรับมรดก คือมีสิทธิได้รับมรดกเสมือนเป็นผู้สืบสันดาน สิทธิในบำเหน็จตกทอดไม่ใช่มรดกของผู้ตายเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นเนื่องจากการตาย คำว่า บุตร ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2500 จึงหมายถึงบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย หาใช่บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองไม่ ที่โจทก์อ้างว่าบุตรตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่นควรจะหมายความถึงบุตรทั่วไปไม่เฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะบุคคลอื่นเช่นผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะของผู้ตายยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดนั้น ตามมาตรา 47 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2508 มาตรา 12 บัญญัติให้ผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะของผู้ตายมีสิทธิในบำเหน็จตกทอดต่อเมื่อผู้ตายไม่มีทายาทดังบัญญัติไว้ในมาตรา 43 (1)(2) และ (3) แล้วเท่านั้น ไม่ใช่มีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดลำดับเดียวกับบุตรจึงอาศัยเทียบเคียงในการตีความคำว่า บุตร อย่างกว้าง รวมทั้งบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share