แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างตามสัญญจำเลยให้การว่าได้ชำระค่าจ้างให้โจทก์แล้ว แลว่าโจทก์ทำผิดสัญญา แต่มิได้ระบุว่าผิดสัญญาในข้อไหน ดังนี้ถือว่า ข้อที่อ้างว่าโจทก์ทำผิดสัญญาไม่เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องพิจารณาแม้จำเลยจะนำสืบว่าโจทก์ทำผิดสัญญาจริง ศาลก็รับฟังไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์รื้อห้องแถวรวม ๑๑ ห้อง แล้วจ้างให้ทำเพิ่มขึ้นอีก ๑๓ ห้อง จำเลยได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ไปบ้างแล้ว ยังคงค้างอีก ๓๐๖๙ บาท ๔ สตางค์ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจำนวนนี้จากจำเลย
จำเลยให้การว่าได้จ้างเหมาโจทก์ปลูกสร้างห้องแควจริง แต่ต่อสู้ว่าบางสิ่งบางอย่างโจทก์ไม่ได้ทำตามสัญญาและโจทก์ผิดสัญญา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยได้จ่ายเงินค่าจ้างโจทก์หมดแล้วรวมทั้งเงินที่โจทก์ถูกปรับทำช้าไปจากสัญญา จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ทำช้าไปเกินกำหนดถึง ๔๐ วัน แลฟังว่าโจทก์ได้รับเงินไปจากจำเลยแล้วคงเหลืออีก ๕๙๑ บาท ๓๙ สตางค์ หักจากจำนวนเงินที่โจทก์ถูกปรับทำช้า ๒๐๐ บาท จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ ๓๙๑ บาท ๓๙ สตางค์
ศาลฏีกาเห็นว่าตามคำให้การของจำเลยกล่าวแต่เพียงว่าโจทก์ทำผิดสัญญาแต่ผิดสัญญาข้อไหนบ้าง จำเลยมิได้กล่าวเป็นข้อต่อสู้มาให้ปรากฏ จึงไม่เกิดเป็นประเด็นที่ศาลจะฟังพิจารณา แม้ในชั้นพิจารณาจำเลยจะสืบได้ว่า โจทก์ปลูกสร้างเกินกำหนดสัญญา ศาลก็รับฟังไม่ได้ ถ้าศาลยออมรับฟังโจทก์ก็ต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะคดีนี้ศาลให้โจทก์มีหน้าที่ นำสืบก่อนเห็นว่าที่ศาลยอมรับฟังข้อนำสืบของจำเลยเป็นการคลาดเคลื่อน จึงพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้เสีย คงให้จำเลยใช้เงินโจทก์ที่ค้างรวม ๕๙๑ บาท ๓๙ สตางค์