แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทุจริตปลอมเอกสารและนำออกใช้และเบียดบังยักยอกเงินไป แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าปลอมใช้เอกสารมากกว่า 2 ครั้ง ซึ่งเกินกว่าที่ระบุในฟ้อง ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ซึ่งให้พนักงานอัยการเรียกทรัพย์สิน หรือราคาคืนในคดียักยอกทรัพย์นั้นหมายรวมทั้งคดีเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ด้วย ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 1907/2494
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นข้าราชการกรมชลประทาน ดำรงตำแหน่งประจำแผนก และทำหน้าที่สมุหบัญชีของกรมชลประทานโครงการก่อสร้างภาคพายัพ บังอาจทำปลอมเอกสารราชการ ใบสมัครลูกจ้างคนงาน ใบขอจ้างคนงาน และใบเบิกค่าแรงงานหลายฉบับ และนำออกใช้โดยสอดแทรกกับเอกสารราชการ ๓ ประเภทที่แท้จริง เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้รับสมัครงานและจ้างเพิ่มคนงานจำนวน ๓๓๖ คน และทำหลักฐานว่าได้จ่ายค่าแรงคนงานดังกล่าวไปแล้วเป็นเงิน ๘๘,๐๘๕ บาท ในประการที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมชลประทานและผู้บังคับบัญชา และจำเลยได้ทุจริตเบียดบังยักยอกเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นของตนเสีย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๑, ๑๕๗, ๒๖๕, ๒๖๘, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๗, ๑๓ และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๘๘,๐๘๕ บาท แก่กรมชลประทาน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยกระทำทุจริตในตำแหน่งหน้าที่และใช้เอกสารราชการปลอมเพื่อเจตนาเบียดบังยักยอกเงินจำนวนตามฟ้องไว้เป็นของตนหรือผู้อื่น แต่โจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำผิดฐานปลอมเอกสารราชการตาม มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕ ทั้งมิได้อ้างบทกฎหมายถึงการที่จำเลยร่วมกระทำผิดด้วยกันกับผู้อื่น อันแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา ๒๖๘ เท่านั้น และโจทก์มิได้อ้างบทมาตรา ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์มาท้ายฟ้อง จึงลงโทษจำเลยฐานนี้ไม่ได้ เพราะมิใช่เป็นการอ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรค ๔ ทั้งโจทก์มิได้แยกวันเวลาแห่งการกระทำผิดต่างกรรมวาระ ออกเป็นกระทงความผิดแต่ละอย่าง กรณีจึงเป็นเรื่องกระทำผิดหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๔๐ พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๑, ๑๕๗ และ ๒๖๘ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๗, ๑๓ ลงโทษตามมาตรา ๑๔๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๓ อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกจำเลย ๖ ปี จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อนและคำรับของจำเลยตามเอกสารหมาย จ. ๑๙ แสดงถึงการรู้สึกความผิดเป็นการพยายามบรรเทาผลร้ายเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๗๘ คงจำคุก ๔ ปี แม้จะลงโทษจำเลยฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๒, ๓๕๓ ไม่ได้ แต่การทุจริตต่อหน้าที่ของจำเลยเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ อัยการโจทก์มีอำนาจขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มารตรา ๔๓ จึงให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๘๘,๐๘๕ บาทแก่กรมชลประทานด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับแต่เฉพาะฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งมี ๓ ข้อ ด้วยกันคือ
๑. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอมทุจริตเอาเงินไป ๒ ครั้ง และข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่ามีหลักฐานการปลอมมากกว่า ๒ ครั้ง ข้อเท็จจริงจึงต่างกับฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลชอบที่จะยกฟ้อง
๒. โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่การงาน ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ จึงไม่มีอำนาจขอให้คืนหรือใช้เงินที่กรมชลประทานถูกเบียดบังไป
๓. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการปลอมเอกสารขึ้นแต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำ ทั้งมิได้อ้างกฎหมายที่จำเลยร่วมกระทำผิด ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อนี้ เพราะเห็นว่าลงโทษไม่ได้ แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยข้อนี้ และเห็นว่าจำเลยเกี่ยวข้องในการปลอมแปลงด้วย อันเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ๑. เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยปลอมเอกสารเอาเงินไปแล้ว แม้จะเกินกว่า ๒ ครั้ง ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง ๒. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๓ ซึ่งให้อัยการเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนในคดียักยอกนั้น หมายความรวมถึงการเรียกทรัพย์ในคดีเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ ด้วยตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๐๗/๒๔๙๔ ๓. แม้ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อปลอมแปลงเอกสารเพราะฟ้องมิได้บรรยายจึง เมื่อประเด็นข้อนี้เป็นข้อเท็จจริงในความผิดฐานยักยอกซึ่งจำเลยอุทธรณ์ขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะวินิจฉัยได้ พิพากษายืน