คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4491/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การคำนวณค่าขึ้นศาลจะต้องพิจารณาจากคำฟ้องแต่ละคดีเป็นเกณฑ์ และในคดีที่คำฟ้องมีหลายข้อหา หากทุนทรัพย์แต่ละข้อหาไม่มีความเกี่ยวข้องกัน สามารถแยกจากกันได้โดยชัดแจ้ง โจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายข้อหาไป
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ตามมูลหนี้เบิกเงินเกินบัญชี กู้เงิน และขายลดตั๋วเงินรวมเป็นเงิน 30,490,930.10 บาท แม้แยกได้หลายข้อหา แต่หนี้ทั้งหมดจำเลยที่ 2 ได้นำห้องชุดจดทะเบียนจำนองเป็นประกัน และจำเลยที่ 3 กับที่ 4 ได้ผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกัน มิได้แบ่งแยกเพื่อการประกันหนี้ประเภทใดรายการใด มูลหนี้ทั้งหมดจึงมีความเกี่ยวข้องกัน การที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในอัตราสูงสุดตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (1)(ก) จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นจำเลยที่ 2 ผู้จำนองกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ผู้ค้ำประกัน ร่วมกันชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีกู้ยืมเงิน ขายลดตั๋วเงิน และบังคับจำนอง เมื่อคิดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 30,490,930.10 บาท โดยโจทก์ชำระค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นในอัตราสูงสุด 200,000 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มตามจำนวนทุนทรัพย์ของหนี้แต่ละประเภท โจทก์ได้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่งศาลชั้นต้นและยื่นคำแถลงคัดค้าน ระหว่างพิจารณาคดีโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต แล้วศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่ม

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อกฎหมายว่า โจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มโดยแยกตามมูลหนี้แต่ละประเภทตามที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บหรือต้องชำระในอัตราสูงสุดตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (1)(ก) ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ในคดีที่คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์นั้น อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทและตามตาราง 1 ท้ายบทบัญญัติดังกล่าว ข้อ (1) (ก) กำหนดให้เรียกโดยอัตราสองบาทห้าสิบสตางค์ต่อทุกหนึ่งร้อยบาท แต่ไม่ให้เกินสองแสนบาท ดังนั้น การคำนวณค่าขึ้นศาลจะต้องพิจารณาจากคำฟ้องแต่ละคดีเป็นเกณฑ์ และในคดีที่คำฟ้องมีหลายข้อหา หากทุนทรัพย์แต่ละข้อหาไม่มีความเกี่ยวข้องกัน สามารถแยกจากกันได้โดยชัดแจ้ง โจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายข้อหาไป คดีนี้แม้คำฟ้องของโจทก์เรียกให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดชำระหนี้ตามมูลหนี้เบิกเงินเกินบัญชี หนี้เงินกู้ และหนี้ขายลดตั๋วเงิน แต่ละประเภทแยกได้หลายข้อหาก็ตามแต่หนี้ทั้งหมดดังกล่าวล้วนเป็นสินเชื่อที่จำเลยที่ 1 ได้รับการอนุมัติจากโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์และสามารถให้สินเชื่อแก่ลูกค้าได้หลายประเภท โดยจำเลยที่ 2 ได้นำห้องชุดจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 3 กับที่ 4 ได้ผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันเพื่อการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวก็มีข้อความทำนองเดียวกันว่า เป็นการประกันการชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 มีอยู่กับโจทก์ทั้งในขณะทำสัญญาหรือที่จะมีต่อไปในภายหน้า มิได้แบ่งแยกเพื่อการประกันหนี้ประเภทใดรายการใด มูลหนี้ที่เกิดจากสินเชื่อของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดตามคำฟ้องจึงมีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้รับผิดรวมมาในคดีเดียวกัน การเสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น โจทก์ชอบที่จะนำจำนวนทุนทรัพย์ของมูลหนี้สินเชื่อแต่ละประเภททุกชนิดที่ฟ้องรวมกันมานั้นให้ถือว่าเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในคดีนั้นได้ การที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในอัตราสูงสุดตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (1) (ก) จึงชอบแล้วที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มโดยกำหนดให้ชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์หนี้แต่ละประเภท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเก็บเกินจาก 200,000 บาท แก่โจทก์

Share