คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6299/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมที่ดินพิพาท ท.เป็นผู้มีสิทธิครอบครองต่อมาท.ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกได้ ล.ภายหลังศาลชั้นต้นได้ยึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดโจทก์ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องการที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ของโจทก์ในคดีก่อนเป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจำเลยซื้อที่ดินพิพาทหลังจากศาลได้มีคำพิพากษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล สิทธิของจำเลยไม่เสียไปประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่สวน 1 แปลงเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2534 จนถึงปัจจุบัน จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์แล้วลักเอามะพร้าวจำนวน 30 ผล ราคา 150 บาท ตัดฟันทำลายต้นลางสาด 1 ต้นราคา 500 บาท ต้นยางพารา 11 ต้น ราคา 2,200 บาท เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 2,850 บาทขอให้พิพากษาห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 2,850 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 191หมู่ที่ 9 ซึ่งนายทองสิน อินทร์สุทธิ์ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ 3 งาน 30 ตารางวา ต่อมาที่ดินพิพาทได้ตกทอดเป็นมรดกแก่นายเหลื่อม อินทร์สุทธิ์ ผู้เป็นทายาทนายเหลื่อมได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 8 ตุลาคม 2534 จำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 613/2520 ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างนายสงบจิตต์เขม้น กับนายเหลื่อม อินทร์สุทธิ์ จำเลย โดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่เคยคัดค้านหรือร้องขัดทรัพย์ จำเลยมีสิทธิเหนือที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า เดิมที่ดินพิพาทนายทองสิน อินทร์สุทธิ์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ต่อมานายทองสินถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกได้นายเหลื่อม อินทร์สุทธิ์ ภายหลังศาลชั้นต้นได้ยึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดในคดีหมายเลขแดงที่ 613/2520 ระหว่างนายสงบ จิตต์เขม้นโจทก์ นายเหลื่อม อินทร์สุทธิ์ จำเลย โจทก์ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลได้ในราคา 62,000 บาท เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ของโจทก์ในคดีก่อน เป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจำเลยซื้อที่ดินพิพาทหลังจากศาล ได้มีคำพิพากษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล สิทธิของจำเลยไม่เสียไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
พิพากษายืน

Share