แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสองได้ใช้ลำรางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 2ต่อจากบิดาของโจทก์ทั้งสองโดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาจะได้ภารจำยอมในลำรางพิพาทติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ที่ดินของจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนที่เป็นลำรางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1382,1401 แม้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองสามารถรับน้ำได้จากคลองด้วยก็ไม่ทำให้ภารจำยอมดังกล่าวสิ้นไป เพราะภารจำยอมที่ได้มาโดยอายุความจะสิ้นไปก็ต่อเมื่อโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้ 10 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 เท่านั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1282 และเลขที่ 20495 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของบ้านเลขที่62/1 และเป็นบุตรจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6145 จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านเลขที่ 62/1ในที่ดินแปลงดังกล่าวของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 อาศัยอยู่ในบ้านของจำเลยที่ 1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 1282 และเลขที่ 20495 ของโจทก์ทั้งสองได้รับประโยชน์จากลำรางน้ำสาธารณะเป็นเวลาติดต่อกันมาหลายสิบปีแล้ว ลำรางน้ำนี้เริ่มต้นจากคลองบางกรวยผ่านที่ดินวัดกล้วยที่ดินจำเลยที่ 2 และที่ดินบุคคลอื่น และมีท่อระบายน้ำให้น้ำไหลจากลำรางมายังที่ดินโจทก์ทั้งสองและประชาชนทั่วไปใช้ประโยชน์ในการชลประทานและระบายน้ำ ที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีสภาพเป็นสวนผลไม้ที่ดินของจำเลยที่ 2 บริเวณลำรางผ่านยาวประมาณ 25 เมตรกว้างประมาณ 2 เมตร และลึกประมาณ 1 เมตรครึ่ง ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1282 ของโจทก์ที่ 1 และที่ดินโฉนดเลขที่ 20495ของโจทก์ที่ 2 เจ้าของที่ดินคนก่อนจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2ไม่เคยหวงห้ามหรือสงวนสิทธิในที่ดินที่ลำรางผ่านเข้าไปแต่อย่างใดเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิขัดขวางหรือทำให้สิทธิของโจทก์ทั้งสองที่จะใช้ลำรางนี้ลดน้อยถอยลง เมื่อวันที่28 กรกฎาคม 2523 จำเลยทั้งสองได้ปิดกั้นลำรางส่วนที่ผ่านที่ดินจำเลยที่ 2 โดยถมดินลงในลำรางเป็นระยะทางยาว 25 เมตร ปิดกั้นทางน้ำจากลำรางมิให้ไหลมาสู่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองและลงไปสู่คลองบางกรวย ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย อันเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ต้นผลไม้ของโจทก์ที่ 1 ตาย คิดเป็นค่าเสียหายในปี 2523 เป็นเงิน 15,000 บาท และปีต่อไปปีละ 15,000 บาทต้นผลไม้ของโจทก์ที่ 2 ตาย คิดเป็นค่าเสียหายในปี 2523 เป็นเงิน10,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองเลิกปิดกั้นลำรางดังกล่าวและทำลำรางกลับสู่สภาพเดิม ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 ปีละ 15,000 บาท นับแต่ปี 2523 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะเลิกการกระทำอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสอง นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับพิพากษาว่าลำรางดังกล่าวเป็นลำรางสาธารณะอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันหรือตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนภารจำยอม หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองไม่เคยได้รับประโยชน์จากลำรางน้ำที่มาจากคลองบางกรวยเลย ภายในเขตที่ดินของจำเลยที่ 2 ไม่เคยมีลำราง คูน้ำ หรือทางน้ำสาธารณะไหลผ่านหรือไหลชิดแนวเขต จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินมาจากเจ้าของเดิมแล้วได้ถมดินลงในคูน้ำซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 2 จึงเป็นสิทธิโดยชอบของจำเลยที่ 2 ที่จะทำได้ จำเลยทั้งสองไม่ได้ปิดกั้นทางน้ำหรือลำรางสาธารณะตามฟ้อง ที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีสภาพเป็นที่สวนเมื่อ20-30 ปีก่อน ปัจจุบันหมดสภาพเป็นสวน เป็นที่ดินสำหรับปลูกบ้านอยู่อาศัย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 6145 ตำบลวัดชลออำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ของจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนที่เป็นลำรางกว้าง 2 เมตร ยาว 25 เมตร ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1282 ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองเลิกปิดกั้นลำรางและทำลำรางให้กลับสู่สภาพเดิมหรือให้น้ำในลำรางไหลผ่านที่ดินโจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 6145 ของจำเลยที่ 2 แปลงดังกล่าว ในส่วนที่เป็นลำราง กว้าง 2 เมตร ยาว25 เมตร ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 20495 ของโจทก์ที่ 2ด้วย นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ดินของจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนที่เป็นลำรางพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1282 และ 20495 ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองนำสืบเพียงว่าไม่มีผู้ใดแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบว่าลำรางพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองเท่านั้น จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมานำสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ที่ว่าโจทก์ทั้งสองได้ใช้ลำรางพิพาทต่อจากนายหยุดบิดาของโจทก์ทั้งสองโดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาจะได้ภารจำยอมในลำรางพิพาทติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์ทั้งสองนำสืบ ที่ดินของจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนที่เป็นลำรางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1282และ 20495 ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382, 1401 และแม้จะฟังว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองสามารถรับน้ำได้จากคลองวัดกระโจมด้วยดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาก็ไม่ทำให้ภารจำยอมดังกล่าวสิ้นไปเพราะภารจำยอมที่ได้มาโดยอายุความจะสิ้นไปก็ต่อเมื่อโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้ 10 ปีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 เท่านั้น
พิพากษายืน.