คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าของที่ดินทำสัญญากับผู้เช่าให้ผู้เช่าปลูกตึกคอนกรีตลงในที่ดินของตน โดยให้ผู้เช่าเป็นผู้ออกเงินค่าปลูกสร้างเป็นเงินจำนวนหนึ่งแล้วเจ้าของที่ดินยอมให้ผู้เช่าเช่าตึกนั้นมีกำหนด 3 ปี ดังนี้ เป็นเพียงผู้เช่าออกเงินค่าก่อสร้างไปแทนเจ้าของที่ดินเท่านั้น ตามลักษณะของทรัพย์ที่เป็นตึก จะแยกจากที่ดินไม่ได้ ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดิน จึงตกเป็นของเจ้าของที่ดินด้วย
การที่เจ้าของร่วมคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการทรัพย์มาแต่แรกแต่คนเดียวเอาทรัพย์ให้ผู้อื่นเช่า แล้วเจ้าของร่วมอีกคนหนึ่งมาฟ้องขอให้ทำลายสัญญาเช่าโดยอ้างว่าไม่ได้รับความยินยอมจากตนและเจ้าของร่วมคนอื่นอีกคนหนึ่งนั้นเป็นหน้าที่เจ้าของร่วมคนที่ฟ้องจะต้องนำสืบว่าตนและเจ้าของร่วมคนอื่นอีกคนหนึ่งไม่ได้ยินยอมและผู้เช่าผู้เป็นคู่สัญญาก็รู้ถึงความเห็นส่วนมากของเจ้าของร่วมนี้ด้วยจึงจะปลีกพ้นจากความรับผิดได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับเงินค่าก่อสร้างตึกที่จำเลยออกแทนไปเพื่อขับไล่จำเลยออกจากตึกนี้ แต่เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิจะขับไล่ทั้งจำเลยก็มิได้ขอเรียกเงินจำนวนนี้จากโจทก์ จึงเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะใช้เขาหรือไม่ไม่ใช่คำบังคับ

ย่อยาว

เนื้อเรื่องแห่งคดีนี้มีว่า ที่ดินโฉนดที่ 1678 ในเขตเทศบาลมีชื่อนางหอมมารดาและนางบุญเกื้อ นายประจวบ บุตรเป็นเจ้าของในที่ดินแปลงนี้มีตึกปลูกอยู่ แต่ถูกไฟไหม้เมื่อ พ.ศ. 2483 นางหอมได้ตกลงทำสัญญากับนางจิวใน พ.ศ. 2484 ให้นางจิวปลูกตึกคอนกรีตลงในที่ดินนี้ โดยนางจิวเป็นผู้ออกเงินค่าปลูกสร้างเป็นเงิน3,280 บาท นางหอมยอมให้นางจิวเช่าตึกรายนี้มีกำหนด 3 ปี ต่อมาเมื่อพ้น 3 ปีแล้ว นางหอมได้มีหนังสือให้นางจิวมาทำสัญญาใหม่แต่นางจิวได้ตายเสียก่อนระหว่างนั้น นางบุญเกื้ออยู่ต่างจังหวัดได้มาหานางหอมบอกความประสงค์ว่า อยากได้ตึกรายนี้สักห้องหนึ่งไว้อยู่ทำการค้า แต่นางหอมไม่พอใจนางบุญเกื้อจึงไม่ให้ และได้ตกลงให้ จำเลยที่ 1 กับที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรนางจิว เช่ามีกำหนด 3 ปี ตามหนังสือสัญญาเช่าหมายเลข 2 ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2490 นางบุญเกื้อจึงมอบฉันทะให้นางมั่ง วีระวัฒน์ สามีมาฟ้องคดีนี้ ขอให้ศาลแสดงว่าตึกที่นางจิวปลูกในที่ดินแปลงนี้ หมายเลข 614-616 เป็นของโจทก์นางจิวเป็นแต่ออกเงินในการก่อสร้างแทน ขอให้จำเลยที่ 1 ทายาทของนางจิวรับเงินจำนวนนี้จากโจทก์ จำเลยที่ 2-3 อยู่ในตึกรายนี้โดยไม่มีสิทธิ จึงขอให้ขับไล่ กับเรียกค่าเสียหาย

เมื่อจำเลยยื่นสัญญาเช่าหมายเลข 2 ในวันชี้สองสถาน โจทก์จึงฟ้องเพิ่มเติมว่าสัญญาเช่าเป็นโมฆะ เพราะโจทก์ไม่ได้รับรู้และไม่ได้ยินยอมอนุญาต

จำเลยให้การว่า จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่านางหอมมีอำนาจให้เช่าได้

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าให้ตึกหมายเลข 614-616 เป็นของโจทก์ให้จำเลยที่ 1 รับเงินที่นางจิวออกแทนไปในการปลูกสร้าง 3280 จากโจทก์คำขออื่นให้ยก

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสัญญาเช่าไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 วรรค 3 ด้วย จึงพิพากษาแก้ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกรายนี้ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้เจ้าของเดือนละ 60 บาท กับให้ทำลายสัญญาเช่าหมายเลข 2

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า ตึกที่ฟ้องเป็นส่วนควบของที่ดินจึงเป็นของโจทก์ตามศาลล่างวินิจฉัย ส่วนสัญญาเช่าหมายเลข 2 นั้น เห็นว่านางหอมเป็นผู้จัดการหาผลประโยชน์ในที่ดินรายนี้มาแต่ต้นผู้เดียวในเบื้องต้นต้องฟังว่านางหอมมีอำนาจให้เช่าแทนโจทก์ได้ที่โจทก์ว่าการเช่าครั้งนี้โจทก์ไม่ยอมเพราะต้องการจะอยู่เองสักห้องหนึ่งนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับนางหอมผู้เป็นเจ้าของร่วมโจทก์หาได้บอกจำเลยไม่ จึงเป็นหน้าที่โจทก์ที่จะแสดงว่า โจทก์และนางประจวบไม่ได้ยินยอมและจำเลยผู้เป็นคู่สัญญาก็รู้แล้วด้วย เมื่อโจทก์สืบไม่ได้ก็ไม่มีทางจะทำลายสัญญานี้ได้ จำเลยจึงมีสิทธิอยู่ในตึกรายนี้ได้ตามสัญญา เพราะยังไม่หมดสัญญา

ส่วนเรื่องค่าปลูกสร้างที่นางจิว ออกแทนนางหอมไปนั้น ในคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับเงินจำนวนนี้เพื่อขับไล่จำเลย แต่เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิขับไล่ ทั้งจำเลยก็มิได้ขอเรียกเงินจำนวนนี้จากโจทก์จึงเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะใช้เขาหรือไม่ ไม่ใช่คำบังคับ

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อที่ขอทำลายสัญญาเช่าหมาย ล.2 และขอให้ขับไล่จำเลย

Share