แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การทำพินัยกรรมคือการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1646 และ 1647 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะทำพินัยกรรม ผู้ตายไม่รู้สึกตัว ไม่มีสติสัมปชัญญะ พูดจาไม่ได้ บังคับร่างกายของตนก็ไม่ได้ จึงไม่สามารถที่จะแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายได้ด้วยตนเอง ข้อความในพินัยกรรมจึงมิใช่เจตนาอันแท้จริงของผู้ตาย แต่เป็นข้อความที่แสดงเจตนาของผู้แอบอ้างจัดทำขึ้นเอง จึงเป็นพินัยกรรมปลอม ไม่มีผลบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายวันเพ็ญ ผู้ตาย
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งถอดถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย แล้วให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายต่อไป
ศาลชั้นต้นประกาศนัดไต่สวน ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนนางสมศรีหรือพิทยา ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายวันเพ็ญ ผู้ตาย แล้วให้ตั้งนายธนพงศ์ ผู้คัดค้าน เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแทน
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่า ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอของผู้คัดค้าน และขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก และขอศาลฎีกามีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ศาลฎีกามีคำสั่งว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องขอของผู้คัดค้านที่ขอถอดถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้ว ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิขอถอนคำร้องคัดค้าน ให้ยกคำร้องของผู้คัดค้านในส่วนนี้ และอนุญาตให้ผู้คัดค้านลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการมรดก ยกคำขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามเดิม เพราะเป็นเรื่องที่ศาลฎีกาจะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดตามฎีกาของผู้คัดค้านต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า พินัยกรรมเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้คัดค้านไม่มีหลักฐานนำสืบให้เห็นว่าพินัยกรรมมิใช่ของจริง ผู้ร้องมีพยานที่ลงชื่อรับรองในพินัยกรรมเบิกความยืนยันว่า พินัยกรรมทำขึ้นจริงขณะที่ผู้ตายมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี และรู้เรื่องดีตลอด ลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรมเป็นของผู้ตาย พินัยกรรมจึงไม่ปลอม หรือมีการลงลายพิมพ์นิ้วมือปลอม และหากผู้ตายขาดคุณสมบัติหรือสภาวะความสามารถของผู้ทำโดยการบกพร่อง ตามกฎหมายก็บัญญัติไว้เพียงว่า พินัยกรรมนั้นไม่มีผลบังคับและเสียไปเท่านั้น หาอาจให้ศาลก้าวล่วงฟังว่าเป็นพินัยกรรมปลอมได้ไม่นั้น ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนปรากฏว่า ผู้คัดค้านมีนาวาอากาศโทสุทธิกรณ์ แพทย์ผู้รักษาผู้ตายเบิกความประกอบประวัติการรักษาผู้ตายโดยเฉพาะคำวินิจฉัยเบื้องต้นของแพทย์เวรผู้ทำการรักษาว่า ผู้ตายถูกนำส่งตัวมาโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติไม่รู้สึกตัว แพทย์เวรใส่ท่อช่วยหายใจและให้ยาเบื้องต้นพบว่าผู้ตายมีอาการเลือดออกในสมอง นาวาอากาศโทสุทธิกรณ์นำผู้ตายไปผ่าตัดสมองใส่ท่อเพื่อระบายน้ำและเลือดภายในโพรงสมองผู้ตาย หลังผ่าตัดผู้ตายมีอาการดีขึ้นเล็กน้อย ไม่เกร็ง แต่ก็ไม่สามารถรู้สึกตัว แม้จะกระตุ้นอย่างแรงก็ไม่รู้สึกตัว ต่อมานาวาอากาศโทสุทธิกรณ์ผ่าตัดผู้ตายอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนท่อระบายเลือดและน้ำออกจากโพรงสมอง ซึ่งต้องผ่าตัดเปลี่ยนทุก 5 ถึง 7 วัน มิฉะนั้นจะเกิดอาการติดเชื้อ ในวันเดียวกันนั้นได้เจาะคอผู้ตายเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจด้วย หลังผ่าตัดผู้ตายไม่มีอาการดีขึ้น ยังมีอาการทรงตัวเหมือนเดิมคือ ไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถพูดจาโต้ตอบได้ หลับตาตลอด ซึ่งอาการแย่กว่าตอนที่เข้ามาในครั้งแรก ต่อมาผู้ตายได้เสียชีวิต นาวาอากาศโทสุทธิกรณ์มีความเห็นว่า ผู้ตายไม่สามารถที่จะกลับมามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ได้ตั้งแต่แรก เนื่องจากก้านสมองของผู้ตายถูกกดมาตลอดตั้งแต่แรก ดังนั้นผู้ป่วยจึงไม่สามารถทำนิติกรรมอะไรได้เลย ตามความเห็นที่ทำส่งศาล นอกจากนี้ผู้คัดค้านยังมีพยานนำสืบตรงกับพยานผู้ร้องว่า ตั้งแต่ผู้ตายเข้ารักษาในโรงพยาบาลต้องอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู. และใช้เครื่องช่วยหายใจ ไม่รู้สึกตัวมาโดยตลอด พยานหลักฐานของผู้คัดค้านที่นำสืบมาจึงรับฟังข้อเท็จจริงได้โดยแจ้งชัดว่า ตั้งแต่ผู้ตายเข้ารักษาในโรงพยาบาลจนถึงวันตายนั้น ผู้ตายไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่รู้สึกตัว ไม่รับรู้และไม่สามารถพูดจาโต้ตอบกับใครได้ ดังนั้น เมื่อการทำพินัยกรรมคือการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 และ 1647 แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏผู้ตายไม่รู้สึกตัว ไม่มีสติสัมปชัญญะ พูดจาไม่ได้ บังคับร่างกายด้วยตนเองก็ไม่ได้ ผู้ตายจึงไม่สามารถที่จะแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายได้ด้วยตนเองในวันเวลาที่ระบุว่ามีการทำพินัยกรรม ข้อความทั้งหมดในพินัยกรรมจึงมิใช่เจตนาที่แท้จริงของผู้ตาย แต่เป็นข้อความที่แสดงเจตนาของผู้แอบอ้างจัดทำขึ้นเอง พินัยกรรมจึงเป็นพินัยกรรมปลอมไม่มีผลบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมาข้างต้น และเมื่อพินัยกรรมเป็นพินัยกรรมปลอมแล้ว ข้ออ้างฎีกาอื่น ๆ ของผู้ร้องก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่ประการใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ผู้คัดค้านลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการมรดกผู้ตายไว้แล้ว จึงเห็นสมควรระบุในคำพิพากษาไว้ให้ชัดเจน นอกจากนี้ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งเรื่องความรับผิดของคู่ความในค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาจึงแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นายธนพงศ์ ผู้คัดค้านออกจากตำแหน่งผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์