แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์มีข้อโต้แย้งกับ ฮ. หรือผู้จัดการมรดกของ ฮ.ที่ไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ครอบครองตามหนังสือสัญญาเลิกหุ้นส่วนโจทก์ต้องว่ากล่าวดำเนินคดีทางศาลแก่ ฮ.หรือผู้จัดการมรดกของ ฮ.ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 กรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่มีหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 71ประกอบด้วยมาตรา 72 หมายถึง ผู้ประสงค์จะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจะต้องมีสิทธิในอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยชอบและคู่กรณีนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินมาขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หาใช่หนังสือแสดงสิทธิเป็นของผู้อื่นและยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่เช่นกรณีของโจทก์ไม่การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่สามารถที่จะจดทะเบียนสิทธิครอบครองให้ได้ขอให้โจทก์ใช้สิทธิทางศาลเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบไม่เป็นละเมิดและไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าหุ้นทำเหมืองแร่กับนายฮกบี้ จินตนะและพวกรวม 7 คน การทำเหมืองแร่ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดร่วมกันซื้อที่ดินเพื่อใช้ทำเหมือง โดยให้นายฮกบี้เป็นผู้มีชื่อในทะเบียนเอกสารสิทธิแต่เพียงผู้เดียว จำนวน 8 แปลง ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดได้ตกลงเลิกห้างหุ้นส่วนกัน มีการแบ่งทรัพย์สินโดยโจทก์จ่ายเงินค่าซื้อที่ดินที่ใช้ทำเหมืองแร่ทั้งหมดเป็นเงิน 50,000 บาท แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นแล้ว โจทก์ครอบครองที่ดินทั้ง 8 แปลงตั้งแต่นั้นมาจึงได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย แต่โจทก์ยังไม่ได้ดำเนินการแก้ไขชื่อทางทะเบียนเพราะนายฮกบี้ไม่ยอมส่งเอกสารสิทธิและไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์ ต่อมา นายฮกบี้ถึงแก่กรรมมีนางอาเหลียนจินตนะ เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ยื่นคำร้องต่อจำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งนายอำเภอท้ายเหมือง และเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยให้แก้ไขชื่อตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้ง 8 แปลง จากชื่อนายฮกบี้มาเป็นชื่อโจทก์ จำเลยรับคำร้องแล้ว ต่อมา จำเลยมีหนังสือแจ้งไปยังโจทก์ว่า “ไม่มีระเบียบให้ถือปฏิบัติ ขอให้ท่านไปใช้สิทธิทางศาลต่อไป” การที่โจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าว สิทธิของโจทก์จะต้องได้รับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 71 ประกอบกับ มาตรา 72 จำเลยเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 71 แต่ไม่ยอมกระทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้โจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 44, 47, 70,102, 108, 129, 140 และ 146 หมู่ที่ 6 ตำบลทุ่งมะพร้าวอำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา โดยการโอนเปลี่ยนชื่อจากนายฮกบี้มาเป็นชื่อโจทก์ทุกแปลง
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้ว เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์กล่าวว่านายฮกบี้ ผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์กับนายฮกบี้หรือผู้จัดการมรดกของนายฮกบี้ตามที่โจทก์อ้าง ซึ่งโจทก์ชอบที่จะดำเนินคดีเอากับนายฮกบี้ หรือผู้จัดการมรดกของนายฮกบี้ได้ตามสิทธิอีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์อย่างไร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยจึงมีคำสั่งยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์มีข้อโต้แย้งกับนายฮกบี้หรือผู้จัดการมรดกของนายฮกบี้ที่ไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ครอบครองตามหนังสือสัญญาเลิกหุ้นส่วนเหมืองแร่ทรัพย์ธรณีและเหมืองแร่สิริวรรณ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2ซึ่งโจทก์ต้องว่ากล่าวดำเนินคดีทางศาลกับนายฮกบี้หรือผู้จัดการมรดกของนายฮกบี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55กรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่มีหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 71 ประกอบด้วยมาตรา 72 นั้น หมายถึงผู้ประสงค์จะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้น ๆ จะต้องมีสิทธิในอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยชอบ และคู่กรณีนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินมาขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หาใช่หนังสือแสดงสิทธิเป็นของผู้อื่นและยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่เช่นกรณีของโจทก์ไม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่สามารถที่จะจดทะเบียนสิทธิครอบครองให้ได้ ขอให้โจทก์ใช้สิทธิทางศาล การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบไม่เป็นละเมิดและไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน