แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาท ไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีที่ ล. มารดาโจทก์ทั้งสี่ฟ้องบังคับให้ ท. จดทะเบียนโอนที่ดิน การที่จำเลยกับ ล. ทำหนังสือสัญญากันระบุว่า ล. จะจดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินในคดีที่ ล. พิพาทกับ ท. ให้แก่จำเลยเมื่อคดีถึงที่สุด กับให้เงินสดอีก 100,000 บาท เพื่อตอบแทนที่จำเลยไปเบิกความเป็นพยานให้นั้น แสดงว่าจำเลยยอมไปเบิกความเป็นพยานก็โดยเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ และเงินสดอีก 100,000 บาท จาก ล. เป็นการตอบแทน เช่นนี้จึงเป็นการที่จำเลยแสวงหาประโยชน์จากการเป็นความของบุคคลอื่น ข้อตกลงตามหนังสือสัญญาดังกล่าวย่อมเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่)
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2545)
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการ ทำประโยชน์เลขที่ ๘๕ ตำบลบ้านป่า อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านและที่ดิน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมคุณหญิงห่วง ทรงสุรเดช เป็นเจ้าของที่ดิน ตามฟ้อง ต่อมาปี ๒๕๐๐ จำเลยและนายชลอ พัตรปาล พิพาทแก่จำเลย แต่โจทก์ทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่า จำเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๘๕ ตำบลบ้านเป้า อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ห้ามโจทก์ทั้งสี่และบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้โจทก์ทั้งสี่ทำนิติกรรมจดทะเบียนแบ่งแยกโอน ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสี่
โจทก์ทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องว่า บิดามารดาโจกท์ทั้งสี่ไม่เคยตกลงมอบที่ดินและทำนิติกรรมจดทะเบียนแบ่งแยก ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเพื่อตอบแทนจำเลยในการเบิกความเป็นพยาน บิดามารดาโจทก์ทั้งสี่ไม่เคยส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทมายังไม่ครบ ๑ ปี ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๘๕ ตำบลบ้านเป้า อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น และใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๕๐๐ บาท แก่ โจทก์ทั้งสี่ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้งของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าข้อตกลงตามหนังสือสัญญา เป็นโมฆะหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาท ไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีที่นางไลมารดาโจทก์ทั้งสี่ฟ้องบังคับให้นางเทพีจดทะเบียนโอนที่ดิน ดังนี้ การที่จำเลยกับนางไลทำหนังสือสัญญากัน ระบุว่านางไลจะจดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๒ ไร่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินในคดีที่นางไลพิพาทกับ นางเทพีให้แก่จำเลยเมื่อคดีถึงที่สุดกับให้เงินสดอีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลยเพื่อตอบแทนที่จำเลยไปเบิกความเป็นพยานให้นั้น แสดงว่าจำเลยยอมไปเบิกความเป็นพยานก็โดยเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้ที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๒ ไร่ และเงินสดอีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท จากนางไลเป็นการตอบแทน เช่นนี้จึงเป็นการที่จำเลยแสวงหาประโยชน์จากการเป็นความของบุคคลอื่น ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๓ เดิม (มาตรา ๑๕๐ ที่แก้ไขใหม่) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(สบโชค สุขารมณ์ – สมชาย พงษธา – ธีระวัฒน์ ภัทรานวัช)