คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 629/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า เมื่อเกิดความวินาศหรือความเสียหายใด ๆ ผู้เอาประกันต้องยื่นคำเรียกร้องเป็นลายลักษณ์อักษรระบุรายละเอียดแห่งทรัพย์สินที่วินาศและจำนวนเงินแห่งความวินาศภายใน 15 วันก่อนก็ตาม เมื่อเกิดเพลิงไหม้แล้ว โจทก์ผู้เอาประกันได้แจ้งเหตุวินาศภัยให้จำเลยซึ่งเป็นบริษัทผู้รับประกันภัยได้ทราบ ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายที่ได้เอาประกันภัยไว้ จำเลยกลับตอบปฏิเสธความรับผิด เช่นนี้ โจทก์ย่อมไม่มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวอีก เพราะถึงจะส่งคำเรียกร้องและรายละเอียดไป จำเลยก็ไม่พิจารณาชดใช้ให้ตามคำปฏิเสธความรับผิดอยู่นั่นเอง และการตอบปฏิเสธเช่นนั้น ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายตามที่ตกลงกันแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเสนอคดีของตนต่อศาลได้ แม้ในกรณีที่จำเลยเฉยเสียมิได้ตอบปฏิเสธความรับผิด แต่ได้ให้เลขานุการของจำเลยไปสำรวจความเสียหาย ซึ่งหากมีการเสียหายที่จะคิดชดใช้ให้บ้าง ก็ถือว่าข้อสัญญาให้ส่งบัญชีรายละเอียดนี้ จำเลยไม่ติดใจให้โจทก์ส่งแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตามนัยฎีกาที่ 1215/2502
คำฟ้องของบริษัทโจทก์ซึ่งมีอำนาจฟ้องอยู่แล้วนั้น ถึงแม้ชั้นยื่นฟ้องจะมีกรรมการบริษัทลงชื่อในคำฟ้องและใบแต่งทนายแต่ผู้เดียว อันเป็นการขัดต่อข้อบังคับของบริษัทโจทก์ก็ตาม เมื่อศาลได้สั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องโดยให้กรรมการบริษัทลงชื่อเสียให้ถูกต้อง ซึ่งโจทก์ก็ได้จัดจัดการแก้ไขโดยให้กรรมการบริษัทลงชื่อครบจำนวนตามข้อบังคับแล้วก่อนที่ศาลจะสั่งให้รับฟ้อง เช่นนี้ ก็ต้องถือว่าคำฟ้องนั้นเป็นคำฟ้องที่ถูกต้อง จำเลยจะเถียงว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้.

ย่อยาว

คดีทั้ง ๑๔ สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องมีใจความอย่างเดียวกันว่าโจทก์ได้เอาทรัพย์สินของบริษัทโจทก์ประกันภัยไว้กับบริษัทจำเลย ซึ่งมีมูลค่าตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยและกำหนดกรณีวินาศภัยเพลิงไหม้หรือฟ้าผ่าภายในอายุสัญญา ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้โรงเสีเครื่องอุปกรณ์และวัสดุที่โจทก์เอาประกันภัยไว้กับบริษัทจำเลยจนหมดสิ้น โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบเพื่อให้จำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย บริษัททวีผลประกันภัยจำกัดนิ่งเฉยเสีย ส่วนบริษัทจำเลยนอกนั้นตอบปฏิเสธ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนที่เอาประกันภัยไว้ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้ง ๑๔ สำนวนให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ได้แจ้งเหตุเพลิงไหม้ในเวลาไม่ชักช้าและในเวลาอันสมควร แต่หลังจากวันที่ได้แจ้งเหตุเพลิงไหม้ให้ทุกบริษัทจำเลยทราบแล้ว บริษัทโจทก์มิได้ปฏิบัติการอย่างใดอีก ได้นำคดีมาฟ้องยังศาลเลย โดยมิได้ยื่นคำเรียกร้องเป็นลายลักษณ์อักษรระบุรายละเอียดแห่งทรัพย์สินที่วินาศและจำนวนเงินแห่งความวินาศภายใน ๑๕ วันตามข้อสัญญาเสียก่อน โจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องบังคับให้บริษัทจำเลยใช้เงินตามสัญญาได้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นต่อไป พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทุกสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทุกสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อเกิดเพลิงไหม้แล้วโจทก์ได้แจ้งเหตุวินาศภัยให้จำเลยทุกบริษัททราบว่าทรัพย์ที่เอาประกันภัยเสียหายหมด ขอให้จัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งหมายความว่าให้ชดใช้ค่าเสียหายที่ได้เอาประกันภัยไว้ บริษัทจำเลยทั้ง ๑๓ บริษัทก็เข้าใจเช่นนั้นจึงได้ตอบปฏิเสธความรับผิด มิได้กังวลกับรายละเอียดของทรัพย์สินที่วินาศภัย เพราะจำเลยไม่พิจารณาใช้ให้อยู่แล้ว โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาข้อนี้อีก ถึงจะส่งคำเรียกร้องและรายละเอียดไป จำเลยก็ไม่พึงพิจารณาชดใช้ให้ตามคำปฏิเสธความรับผิดอยู่นั่นเอง คำปฏิเสธความรับผิดของจำเลยก็แสดงในตัวว่า แม้จะเสียหายน้อยหรือมากอย่างไร จำเลยก็ไม่ใช้ให้ จึงไม่มีเหตุที่จะต้องให้โจทก์ทวงถามหรือเสนอรายการอันใดอีก ทั้งการตอบปฏิเสธเช่นนั้น เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายตามที่ตกลงกัน โจทก์จึงมีสิทธิเสนอคดีของตนต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ จำเลยจะอ้างข้อสัญญาใด ๆ มาตัดอำนาจฟ้องคดีต่อศาลโดยที่จำเลยได้โต้แย้งสิทธิไม่ยอมรับชดใช้ให้ตามสัญญาแล้วไม่ได้ ที่ศาลล่างอ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๗๗/๒๔๗๙ มาเทียบเคียง รูปคดีต่างกับคดีนี้ เพราะตามคำพิพากษาฎีกาที่อ้างนั้น ผู้เอาประกันได้แจ้งเหตุเพลิงไหม้ไปให้ทราบเท่านั้น มิได้เรียกร้องให้ปฏิบัติตามสัญญาอย่างในคดีนี้ บริษัทผู้รับประกันก็มิได้ตอบปฏิเสธความรับผิด เพียงแต่ขอให้รอทางอำเภอสืบสวนสาเหตุแห่งต้นไฟเสียก่อน ซึ่งแสดงว่าการพิจารณาที่จะชดใช้ให้ยังดำเนินการอยู่ และยังมิได้โต้แย้งสิทธิของผู้เอาประกันภัยเสียแต่ต้นอย่างในคดีนี้
ส่วนบริษัททวีผลประกันภัยจำเลยซึ่งเฉยเสียมิได้ตอบปฏิเสธความรับผิดนั้น เมื่อโจทก์เรียกร้องให้ชดใช้โดยแจ้งว่าเสียหายหมด บริษัทจำเลยได้รับคำเรียกร้องและมิได้ทักท้วงอย่างใด และมิได้ถือเอาข้อบกพร่องนี้เป็นสารสำคัญที่จะไม่ชดใช้ บริษัทจำเลยกลับสั่งเลขานุการของบริษัทไปสำรวจความเสียหายและเลขานุการของบริษัทจำเลยก็ให้การว่า หากมีความเสียหายก็จะได้คิดชดใช้ให้บ้าง แต่ตรวจแล้วไม่เชื่อว่ากระสอบป่านถูกไฟไหม้ จึงไม่ยอมจ่ายเงินค่าประกันภัยให้ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อสัญญาที่กำหนดให้ส่งบัญชีรายละเอียดนี้ จำเลยไม่ติดใจให้โจทก์ส่งแล้ว จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยไปสำรวจเอง ถ้ามีความเสียหายจริง จำเลยก็จะชดใช้ให้ เหตุที่จำเลยไม่ใช้เพราะทรัพย์ที่เอาประกันภัยไม่เสียหายไม่เกี่ยวแก่สัญญาข้อ ๑๐ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๑๕/๒๕๐๒
ในเรื่องอำนาจฟ้องของกรรมการบริษัทโจทก์นั้น ปรากฏว่าเมื่อชั้นยื่นฟ้องมีกรรมการผู้จัดการบริษัทลงชื่อในคำฟ้องและใบแต่งทนายแต่ผู้เดียว ศาลชั้นต้นได้สั่งให้แก้ไขความบกพร่องโดยให้กรรมการลงชื่อเสียให้ถูกต้อง โจทก์ได้จัดการแก้ไขให้กรรมการอีก ๒ นายลงชื่อในคำฟ้องและใบแต่งทนายครบจำนวนตามข้อบังคับแล้ว เห็นว่า คำฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องของบริษัทโจทก์ซึ่งมีอำนาจฟ้องอยู่แล้ว แต่เป็นนิติบุคคล ต้องมีกรรมการตามข้อบังคับลงชื่อจึงจะผูกพันบริษัท เมื่อลงชื่อไม่ครบก็เรียกว่ายังบกพร่องอยู่ ไม่ใช่ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อลงชื่อครบแล้วก็เป็นฟ้องที่ถูกต้อง โจทก์ได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องก่อนที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รับฟ้องแล้ว จำเลยจะเถียงว่าไม่มีอำนาจฟ้อง ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เว้นแต่ในเรื่องอำนาจฟ้อง คงให้เป็นไปตามที่ศาลฎีกาวินิจฉัย.

Share