คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6288/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรมธรรม์ประกันภัยแบ่งความคุ้มครองออกเป็น 2 หมวด คือ ความเสียหายต่อวัตถุและความรับผิดต่อบุคคลภายนอก จึงเป็นสัญญาประกันวินาศภัยและสัญญาประกันภัยค้ำจุนรวมอยู่ด้วยกัน แม้ส่วนที่โจทก์ทำงานก่อสร้างและก่อความเสียหายแก่บุคคลภายนอกต้องเป็นความเสียหายที่โจทก์จะต้องรับผิดตามกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 วรรคหนึ่ง แต่การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ดำเนินการก่อสร้างตามหลักวิชาการสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมทุกประการ แต่ความสั่นสะเทือนของการก่อสร้างได้ทำให้บ้านของ จ. ได้รับความเสียหาย หาใช่เป็นการบรรยายฟ้องปฏิเสธความรับผิดของโจทก์ไม่ แต่มีความหมายไปในทำนองเพียงว่ามิได้เกิดจากความจงใจของโจทก์เพราะได้ปฏิบัติตามหลักวิชาแล้วเท่านั้น แต่การก่อสร้างมีความสั่นสะเทือนและความสั่นสะเทือนดังกล่าวส่งผลให้บ้านของ จ. ได้รับความเสียหาย และโจทก์ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่ จ. อันเป็นการยอมรับในผลแห่งการกระทำของโจทก์ว่าเป็นละเมิดได้ก่อความเสียหายแก่บุคคลอื่น ทั้งจำเลยให้การต่อสู้คดีปฏิเสธความรับผิดว่าเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ มิได้ปฏิเสธว่าเป็นความเสียหายที่มิใช่เกิดจากการก่อสร้างของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญแห่งคดีที่จำเลยต้องรับผิด ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
จำเลยให้การรับว่าได้รับประกันวินาศภัยไว้ แต่ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยเพราะโจทก์ก่อสร้างอาคารโดยขาดความระมัดระวังจนเป็นเหตุให้บ้านของ จ. ที่อยู่ใกล้เคียงกับสถานที่ก่อสร้างได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้ เมื่อจำเลยนำสืบไม่สมข้อกล่าวอ้าง จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย การประกันภัยค้ำจุนนั้น ผู้เสียหายคือ จ. ชอบที่จะได้รับค่าเสียหายที่ควรได้จากผู้รับประกันภัยโดยตรงแต่โจทก์ในฐานะผู้เอาประกันภัยกลับฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยโดยตรง ค่าเสียหายที่เรียกร้องมาทั้งหมดย่อมเป็นความเสียหายที่ จ. สมควรได้รับ ทั้งโจทก์มิได้ชำระค่าเสียหายทั้งหมดตามที่มีการประเมินให้แก่ จ. ก่อนฟ้อง และไม่ปรากฏว่า จ. ยอมรับค่าเสียหายที่มีการประเมินดังกล่าว การฟ้องคดีนี้ถือได้ว่าเป็นการฟ้องในฐานะผู้เอาประกันภัยเพื่อนำค่าเสียหายไปชดใช้ให้ จ. ไม่ปรากฏว่า จ. ตกลงด้วยว่าเป็นความเสียหายที่ได้รับจริงและจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมมากกว่านี้ ทั้งพยานโจทก์เบิกความว่า ยังมีค่าเสียหายในส่วนอื่นซึ่งเป็นการซ่อมแซมต่อเนื่องยังไม่ได้จ่ายให้แก่ จ. ต้องรอให้การซ่อมแซมแล้วเสร็จก่อนจึงจะรู้จำนวนเงินที่จะต้องชดใช้ที่แน่นอน ดังนั้น หากศาลกำหนดค่าเสียหายทั้งหมดที่จำเลยต้องชดใช้ ย่อมถือว่าเป็นการกำหนดไปล่วงหน้าไม่ถูกต้องตรงกับความเสียหายที่เป็นจริง กรณีอาจจะมีจำนวนค่าเสียหายมากกว่าที่ประเมิน จ. มิได้เป็นคู่ความในคดีย่อมมีสิทธิโดยชอบที่จะฟ้องร้องจำเลยอีกได้ หรือหากมีความเสียหายน้อยกว่าที่ประเมินก็ทำให้โจทก์ได้รับประโยชน์โดยไม่มีมูลจะอ้างตามกฎหมาย ชั้นนี้จึงเห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนเฉพาะในส่วนค่าใช้จ่ายการซ่อมฐานรากที่ดำเนินการไปแล้วและมีการจ่ายให้กับ จ. ไปแล้วเป็นเงิน 2,000,000 บาท โดยค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายส่วนอื่นเป็นเรื่องที่ จ. หรือโจทก์จะไปว่ากล่าวเอากับจำเลยในภายหลังเมื่อทราบจำนวนความเสียหายที่แท้จริงซึ่ง จ. มีสิทธิได้รับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 3,402,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญที่จะต้องยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า กรมธรรม์ประกันภัย แบ่งความคุ้มครองเป็น 2 หมวด คือ หมวด 1 เป็นความเสียหายต่อวัตถุ และหมวด 2 เป็นความรับผิดต่อบุคคลภายนอก กรณีคดีนี้เป็นความรับผิดของโจทก์ที่มีต่อบุคคลภายนอก ในคำแปลหน้าที่ 25 ระบุว่าจำเลยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไม่เกินจำนวนเงินที่ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดจ่ายค่าเสียหายตามกฎหมาย ดังนั้น สัญญาประกันภัยดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประกันวินาศภัยและสัญญาประกันภัยค้ำจุนรวมอยู่ด้วยกัน แม้ในส่วนที่โจทก์ทำงานก่อสร้างและก่อความเสียหายแก่บุคคลภายนอกนั้น ต้องเป็นความเสียหายที่โจทก์จะต้องรับผิดตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ดำเนินการก่อสร้างตามหลักวิชาการสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมทุกประการแต่ความสั่นสะเทือนของการก่อสร้างได้ทำให้บ้านของนายแพทย์จักรธรรม ได้รับความเสียหาย หาใช่เป็นการบรรยายฟ้องที่ปฏิเสธความรับผิดของโจทก์ไม่ แต่มีความหมายไปในทำนองเพียงว่ามิได้เกิดจากความจงใจของโจทก์เพราะได้ปฏิบัติตามหลักวิชาแล้วเท่านั้น แต่การก่อสร้างมีความสั่นสะเทือนและความสั่นสะเทือนดังกล่าวส่งผลให้บ้านของนายแพทย์จักรธรรมได้รับความเสียหาย และโจทก์ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่นายแพทย์จักรธรรม อันเป็นการยอมรับในผลแห่งการกระทำของโจทก์ว่าเป็นละเมิดได้ก่อความเสียหายแก่บุคคลอื่น ทั้งจำเลยให้การต่อสู้คดีปฏิเสธความรับผิดว่า เหตุความเสียหายเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ มิได้ปฏิเสธว่าเป็นความเสียหายที่มิใช่เกิดจากการก่อสร้างของโจทก์ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์หาได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าเหตุใดโจทก์ต้องรับผิดต่อนายแพทย์จักรธรรม แต่กลับบรรยายฟ้องว่าโจทก์ก่อสร้างตามหลักวิชาการทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมทุกประการอันมิใช่การกระทำโดยละเมิด ฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญแห่งคดีที่จำเลยต้องรับผิด จึงยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า จำเลยให้การรับว่าได้รับประกันวินาศภัยไว้จากบริษัทเทอร์ที่ ไนนท์ ทาวเวอร์ จำกัด หรือบุคคลที่ทำสัญญา หรือบุคคลอื่นที่เข้ามารับเหมาก่อสร้างช่วง รวมทั้งโจทก์ในโครงการก่อสร้างอาคาร 39 ทาวเวอร์ ตามฟ้องไว้จริง แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย เพราะเป็นเหตุที่สามารถคาดหมายได้ล่วงหน้า โจทก์ก่อสร้างอาคารสูงโดยขาดความระมัดระวัง ลงชีทไพล์ในระบบสั่นติดที่ดินข้างเคียงซึ่งต้องดำเนินการโดยมีวัสดุป้องกันไม่ให้แรงสั่นสะเทือนไปทำความเสียหายให้แก่ที่ดินข้างเคียง อีกทั้งการถอนชีทไพล์ไม่ได้กระทำด้วยการค่อยๆ ถอนออกและนำดินทรายเข้าไปแทนที่ช่องว่างที่ชีทไพล์จะถูกถอนออก ถอนชีทไพล์โดยไม่มีการป้องกันความเสียหายจนเป็นเหตุให้บ้านของนายแพทย์จักรธรรม ที่ปลูกอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่ก่อสร้างได้รับความเสียหาย ตามตารางกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 35 ว่าด้วยการสั่นสะเทือน การเคลื่อนย้ายสิ่งค้ำจุนออกหรือสิ่งค้ำจุนที่ไม่แข็งแรง ซึ่งเป็นข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้ออ้างดังกล่าวจำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นในคำให้การ จึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้ หาใช่โจทก์ไม่ รายงานความเสียหายเบื้องต้นและหนังสือชี้แจงของบริษัทคันนิ่งแฮม ลินเช (ประเทศไทย) จำกัด มิได้ระบุรายละเอียดว่าความเสียหายเกิดจากการลงชีทไพล์ไม่ถูกต้องดังที่จำเลยให้การ ทั้งในรายงานความเสียหายเบื้องต้น ก็มีข้อความว่าการถอดถอนชีทไพล์ที่ฝังอยู่ยังไม่เกิดขึ้นในตอนที่มีการจัดทำรายงานซึ่งระบุว่ารายงานทำขึ้นวันที่ 8 เมษายน 2548 โดยมีแผนงานที่จะถอดถอนในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม 2548 อันแสดงให้เห็นว่าความเสียหายไม่ได้เกิดจากการถอนชีทไพล์ดังที่จำเลยกล่าวอ้างมาในคำให้การ ส่วนที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า ความเสียหายที่เกิดแก่บ้านของนายแพทย์จักรธรรมเป็นแต่เพียงรอยแตกร้าว ไม่ได้พังทลายลงมาสิ้นเชิงหรือบางส่วนจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 35 นั้น เห็นว่า โจทก์มีนายพรชัย ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความประกอบรายงานการตรวจสอบและประเมินราคาความเสียหาย โดยนายพรชัยเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า รอยแตกร้าวของบ้านบางส่วนเป็นรอยแตกร้าวเดิมแต่มีขนาดเล็ก เมื่อมีการก่อสร้างจึงมีการขยายรอยแตกร้าวใหญ่ขึ้น จากการตรวจสอบพื้นบ้านพบว่ามีการทรุดตัวประมาณ 4 เซนติเมตร ซึ่งเห็นว่าไม่ใช่จากการทรุดตัวตามธรรมชาติหรือเป็นการทรุดตัวของบ้านที่มีมาก่อนการก่อสร้าง โจทก์ไม่แน่ใจว่าฐานรากของบ้านดังกล่าวเสียหายจริงหรือไม่ จึงว่าจ้างบริษัทอินเตอร์-คอนซัลท์ จำกัด ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการสำรวจความเสียหายของฐานรากเข้าทำการตรวจสอบ ตามรายงานการตรวจสอบและประเมินราคาความเสียหาย หากสังเกตด้วยตาเปล่าจะไม่พบความเสียหายที่น่าจะเป็นอันตรายต่อการพักอาศัย แต่จากรายงานการตรวจสอบระบุว่าตอม่อตำแหน่ง บี 6 แตกร้าวเฉียง 45 องศา ตามหลักวิศวกรรมถือว่าเป็นการแตกร้าวของฐานรากซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อโครงสร้างของอาคารได้ โดยในรายงานการตรวจสอบดังกล่าวระบุว่ามีการตรวจสอบสภาพโครงสร้างทั่วไปด้วยสายตา ตรวจวัดการทรุดตัวของอาคารด้วยกล้องระดับและขุดสำรวจฐานราก การตรวจวัดค่าระเบียนการทรุดตัวของอาคารพบว่าตัวอาคารเกิดการเคลื่อนตัวและทรุดลงไปทางด้านหลังของอาคาร โดยอาคารเกิดการทรุดเอียงทั้งหลัง มีภาพถ่ายที่มีคำอธิบายว่าเป็นภาพแสดงการขุดสำรวจฐานราก ทั้งโจทก์ยังมีภาพถ่ายแนบท้ายมาแสดง ซึ่งนายพรชัยเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ภาพที่ 5 ที่ 11 และที่ 12 เป็นภาพระหว่างการซ่อมแซม โดยภาพที่ 5 มีคำอธิบายว่า เป็นภาพแสดงการซ่อมแซมอาคาร ลงเสาเข็มใหม่ ภาพที่ 11 เป็นภาพแสดงการทุบรื้อและซ่อมแซมพื้นของอาคาร และภาพที่ 12 เป็นภาพแสดงการซ่อมแซมดีดพื้นของอาคาร ในขณะที่จำเลยมีนายปริญญาเป็นพยานเบิกความว่า นายปริญญาได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมตรวจสอบความเสียหายของบ้านนายแพทย์จักรธรรม และเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า พยานไม่ได้ขุดหรือเจาะเพื่อตรวจดูความเสียหายของฐานรากอาคารโดยเบิกความตอบทนายจำเลยถามติงว่า การสำรวจความเสียหายจะตรวจดูความเสียหายที่แท้จริงที่พบเห็นในขณะนั้น บ้านของนายแพทย์จักรธรรมพยานดูภายใน 1 ชั่วโมง ก็สามารถกำหนดความเสียหายที่ปรากฏในขณะนั้นได้แล้ว ส่วนความเสียหายของฐานราก จากการตรวจสอบไม่ปรากฏว่าเกิดความเสียหายบริเวณเสา คาน หรือส่วนอื่นที่เกิดเนื่องจากอาคารทรุด จึงไม่ได้ขุดเพื่อตรวจสอบ จำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบเกี่ยวกับเรื่องตอม่อแตกร้าวว่าไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงหรือไม่อย่างไร เช่นนี้แม้บ้านนายแพทย์จักรธรรมจะไม่ได้ถล่มทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่ระบุในกรมธรรม์ประกันภัย แต่กรณีก็น่าเชื่อว่าหากไม่ดำเนินการซ่อมแซมก็อาจทำให้ถล่มหรือพังลงมาเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยได้ตามที่โจทก์นำสืบมา ข้อต่อสู้ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เมื่อจำเลยนำสืบไม่สมข้อกล่าวอ้าง จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย โดยที่นายพรชัยพยานโจทก์เบิกความว่า ความเสียหายบ้านของนายแพทย์จักรธรรมเป็นเงิน 3,402,600 บาท โดยเป็นส่วนที่เป็นฐานรากประมาณ 2,000,000 บาท ปรากฏตามรายงานการตรวจสอบและประเมินราคาความเสียหาย ขณะฟ้องโจทก์ยังไม่ได้ชำระค่าเสียหายให้แก่นายแพทย์จักรธรรม แต่หลังฟ้องได้ชำระค่าเสียหายให้แก่นายแพทย์จักรธรรมแล้ว 2,000,000 บาท ตามสำเนาหนังสือเสนอราคางานปรับปรุงซ่อมแซมพร้อมสำเนาหนังสือนำส่งเงินค่าใช้จ่ายและสำเนาหลักฐานการรับเช็ค ส่วนที่เหลือต้องรอให้ซ่อมแซมเสร็จก่อนจึงจะรู้จำนวนค่าเสียหายที่จะต้องชดใช้ที่แน่นอน การประกันภัยค้ำจุนนั้น ผู้เสียหายคือนายแพทย์จักรธรรมชอบที่จะได้รับค่าเสียหายที่ควรได้จากผู้รับประกันภัยโดยตรง แต่โจทก์ในฐานะผู้เอาประกันภัยในคดีนี้กลับฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยโดยตรง ค่าเสียหายที่เรียกร้องมาทั้งหมดย่อมเป็นความเสียหายที่นายแพทย์จักรธรรมสมควรจะได้รับ มิใช่เป็นค่าเสียหายที่โจทก์สามารถเก็บไว้เป็นประโยชน์แก่โจทก์ได้ ทั้งโจทก์มิได้ชำระค่าเสียหายทั้งหมดตามที่มีการประเมินให้แก่นายแพทย์จักรธรรมก่อนฟ้องและไม่ปรากฏว่านายแพทย์จักรธรรมยอมรับค่าเสียหายที่มีการประเมินดังกล่าว การฟ้องคดีนี้ถือได้ว่าเป็นการฟ้องในฐานะผู้เอาประกันภัยเพื่อนำค่าเสียหายไปชดใช้ให้นายแพทย์จักรธรรมไม่ปรากฏว่านายแพทย์จักรธรรมตกลงด้วยว่าเป็นความเสียหายที่นายแพทย์จักรธรรมได้รับจริงและจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมมากกว่านี้ ทั้งนายพรชัยพยานโจทก์เบิกความตอบทนายโจทก์ถามติงว่า ยังมีค่าเสียหายในส่วนอื่นซึ่งเป็นการซ่อมแซมต่อเนื่องยังไม่ได้จ่ายให้แก่นายแพทย์จักรธรรม ต้องรอให้การซ่อมแซมแล้วเสร็จก่อนจึงจะรู้จำนวนเงินที่จะต้องชดใช้ที่แน่นอน ดังนั้น หากศาลกำหนดค่าเสียหายทั้งหมดที่จำเลยต้องชดใช้ ย่อมถือว่าเป็นการกำหนดไปล่วงหน้าไม่ถูกต้องตรงกับความเสียหายที่เป็นจริง กรณีอาจจะมีจำนวนค่าเสียหายมากกว่าที่ประเมิน นายแพทย์จักรธรรมมิได้เป็นคู่ความในคดีย่อมมีสิทธิโดยชอบที่จะฟ้องร้องจำเลยอีกได้หรือหากมีความเสียหายน้อยกว่าที่ประเมิน ก็ทำให้โจทก์ได้รับประโยชน์โดยไม่มีมูลจะอ้างตามกฎหมาย ในชั้นนี้จึงเห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนเฉพาะในส่วนค่าใช้จ่ายการจัดซ่อมส่วนที่เป็นงานฐานรากที่มีการดำเนินการไปแล้วและมีการจ่ายให้กับนายแพทย์จักรธรรมไปแล้วเป็นเงิน 2,000,000 บาท โดยค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายส่วนอื่นเป็นเรื่องที่นายแพทย์จักรธรรมหรือโจทก์จะไปว่ากล่าวเอากับจำเลยในภายหลังเมื่อทราบจำนวนความเสียหายที่แท้จริงซึ่งนายแพทย์จักรธรรมมีสิทธิได้รับ อย่างไรก็ตามเนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยว่าด้วยความรับผิดส่วนแรก ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองไม่สามารถเรียกร้องเอาจากผู้รับประกันภัย มีการระบุความรับผิดส่วนแรกในความสูญเสียแต่ละครั้งต่อบุคคลภายนอกกรณีที่เป็นทรัพย์สินใต้ดินให้ความรับผิดส่วนแรกมีอัตราร้อยละ 20 โดยมีขั้นต่ำ 50,000 บาท ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นส่วนที่เกี่ยวกับงานฐานรากถือเป็นทรัพย์สินใต้ดิน ต้องหักค่าใช้จ่ายส่วนแรกในอัตราร้อยละ 20 ของค่าเสียหาย 2,000,000 บาท จึงเหลือเงินที่จำเลยต้องใช้ให้โจทก์เพียง 1,600,000 บาท กรณีดังกล่าวไม่อาจหักความรับผิดส่วนแรกนับแต่วันที่โจทก์เริ่มก่อสร้างจนถึงวันที่โจทก์แจ้งความเสียหายให้จำเลยทราบทุกวันวันละหลายครั้งดังที่จำเลยให้การต่อสู้ โดยจำเลยต้องใช้ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง จึงพิจารณาให้ตามที่ขอมา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 1,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 9 มีนาคม 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกา

Share