คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6288/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องจำเลยที่ 2 ฉันภริยาและมีความสัมพันธ์กันในทำนองชู้สาว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(1)เมื่อเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวและการหย่านั้นจะทำให้โจทก์ยากจนลง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด เพราะการหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาคดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1531 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 และอยู่กินเป็นสามีภริยากันจนมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ เด็กชายกฤตินและเด็กหญิงกฤตินีซึ่งขณะนี้อยู่ในความปกครองอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ประมาณต้นเดือนธันวาคม 2529 จำเลยที่ 1 ได้อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2 เป็นภริยาและร่วมกิจการค้า ทั้งจำเลยที่ 2ได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่าจำเลยที่ 2 เป็นภริยาของจำเลยที่ 1โจทก์ได้พูดห้ามปรามจำเลยที่ 1 ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับจำเลยที่ 2ฉันชู้สาว แต่จำเลยที่ 1 ไม่เชื่อฟังกลับหาเหตุทะเลาะวิวาทกับโจทก์และด่าว่าหมิ่นประมาทเหยียดหยามโจทก์ เป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่จะอยู่กินกันฉันสามีภริยากับโจทก์อย่างร้ายแรงเป็นการประพฤติชั่ว โจทก์ประสงค์จะเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 1เป็นเงิน 200,000 บาท จากจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 200,000 บาทการหย่านี้เกิดจากความผิดของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว และทำให้โจทก์ยากจนลง จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์เดือนละ5,000 บาท ระหว่างอยู่กินกันฉันสามีภริยามีสินสมรส คือ ที่ดินบ้าน เงินฝากธนาคาร รถยนต์ และทรัพย์สินภายในบ้านซึ่งโจทก์มีสิทธิจะได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งเป็นเงินทั้งสิ้น 1,049,800 บาทขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน ให้จำเลยที่ 1แบ่งและส่งมอบสินสมรสทั้งหมดแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง และให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าทดแทนแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่เดือนมีนาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย กับให้โจทก์แต่ผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง จำเลยที่ 1ไม่เคยยกย่องหรืออุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ 2 ฉันภริยา ไม่เคยด่าว่าโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์และจำเลยที่ 1 ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่ผู้เดียว โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งที่ดิน จำเลยที่ 1 ไม่เคยมีเงินฝากในธนาคารส่วนทรัพย์สินอื่น คือ รถยนต์ 3 คัน รวมราคาไม่เกิน 60,000 บาทและทรัพย์สินภายในบ้าน ไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นจำนวนเงินได้ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในทำนองชู้สาว จำเลยที่ 2 ไม่ได้แสดงตนว่าเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 และไม่ได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าเสียหายอย่างไร ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้จำเลยที่ 1 แบ่งสินสมรสเงินสดในธนาคารซึ่งมีอยู่รวมเป็นเงิน 1,988,236.75 บาท และที่ดินพร้อมบ้านเลขที่ 799 ที่ดินที่จังหวัดอุบลราชธานี รถยนต์และทรัพย์สินในบ้านเลขที่ 799 ให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 คนละครึ่งเท่า ๆ กันให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จ่ายค่าทดแทนให้โจทก์คนละ 50,000 บาทกับให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์เดือนละ 5,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะทำการสมรสใหม่ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องจำเลยที่ 2 ฉันภริยาและมีความสัมพันธ์กันในทำนองชู้สาวโจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(1) และเมื่อเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของจำเลยที่ 1แต่ฝ่ายเดียวและการหย่านั้นจะทำให้โจทก์ยากจนลง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด เพราะการหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1531 วรรคสอง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เว้นแต่ค่าเลี้ยงชีพให้จำเลยที่ 1 จ่ายนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะสมรสใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share