คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6280/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยประกอบธุรกิจธนาคาร การจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้มาขอเบิกเงินเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งของจำเลยซึ่งต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำจำเลยย่อมมีความชำนาญในการตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คว่าเป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายหรือไม่ยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา ทั้งจำเลยจะต้องมีความระมัดระวังในการจ่ายเงินตามเช็คยิ่งกว่าวิญญูชนทั่ว ๆ ไป การที่จำเลยจ่ายเงินตามเช็คพิพาทให้แก่ผู้นำมาเรียกเก็บเงินไปโดยที่ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่ใช่ลายมือชื่อโจทก์ทั้งที่มีตัวอย่างลายมือชื่อโจทก์ที่ให้ไว้กับจำเลยกับมีเช็คอีกหลายฉบับที่โจทก์เคยสั่งจ่ายไว้อยู่ที่จำเลย จึงเป็นการขาดความระมัดระวังของจำเลย เป็นการกระทำละเมิดและผิดสัญญาฝากทรัพย์ต่อโจทก์ จำเลยจะยกข้อตกลงยกเว้นความรับผิดตามที่ระบุไว้ในคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ การที่เช็คพิพาทซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ตกไปอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่นจนกระทั่งมีการปลอมลายมือชื่อโจทก์นั้นแสดงว่าโจทก์ละเลยไม่ระมัดระวังในการดูแลรักษาแบบพิมพ์เช็คดังกล่าวอันถือได้ว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย การกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เพียงใดนั้นต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารจำเลย สาขาพรานนก โจทก์ได้มอบตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์แก่จำเลย และจำเลยได้มอบสมุดเช็คให้โจทก์ ใช้ถอนเงินจากบัญชีโจทก์ซึ่งมีเงื่อนไขและข้อตกลงตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดตลอดจนธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติว่า จำเลยจะนำเช็คมาหักหรือตัดทอนบัญชีเงินฝากของโจทก์ได้ต่อเมื่อเช็คนั้นโจทก์เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายจำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายและผูกพันปฏิบัติต่อโจทก์ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดอย่างเคร่งครัดที่จะพึงต้องใช้ความระมัดระวังในการสงวนทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยรับฝากไว้เช่นวิญญูชนจะพึงปฏิบัติ รวมทั้งใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะในอันที่จะใช้ฝีมือเช่นนั้น โจทก์เดินสะพัดบัญชีของโจทก์ตลอดมา ต่อมาได้มีผู้นำเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาพรานนก เลขที่ 5750099 สั่งจ่ายเงินจำนวน 274,000 บาท มาเบิกเงินสดไปจากยอดเงินฝากในบัญชีของโจทก์และมีผู้นำเช็คเลขที่ 5850100 สั่งจ่ายเงินจำนวน 240,000 บาทมาเบิกเงินสดไปจากยอดเงินฝากในบัญชีของโจทก์อีก ซึ่งการสั่งจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าว โจทก์มิได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายต่อมาโจทก์ขอตรวจสอบยอดเงินจึงทราบว่า ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายและลายมือรายการในเช็คดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะจำเลยมิได้ปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเงินสะพัดและประมาทเลินเล่อมิได้ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายว่าเหมือนกับลายมือชื่อของโจทก์ที่ให้ไว้เป็นตัวอย่างกับจำเลยหรือไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิหักทอนบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 549,550 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ใช้เงินให้แก่บุคคลผู้มาขอขึ้นเงินตามเช็คเลขที่ 5750099 และเลขที่ 5750100 ให้แก่ผู้ถือไปโดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่อกล่าวคือ ได้ตรวจความถูกต้องในรายการของเช็ค โดยเฉพาะได้ระมัดระวังตรวจสอบลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คว่า เป็นไปตามตัวอย่างที่มอบให้ไว้แก่ธนาคาร และไม่มีเหตุชวนสงสัยว่าลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินในเช็คทั้งสองฉบับไม่ใช่ลายมือชื่ออันแท้จริงของโจทก์ จำเลยไม่ต้องรับผิดหรือมีหน้าที่รับใช้เงินอย่างใด ๆ ตามฟ้องของโจทก์ โจทก์เป็นผู้สั่งจ่ายเองหรือมิฉะนั้นโจทก์ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลย จำเลยมิได้ปฏิบัติผิดสัญญาบัญชีเดินสะพัดเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเช็คที่ธนาคารจำเลยมอบให้แก่โจทก์ โดยมีเงื่อนไขตามคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันของโจทก์จำเลยว่า โจทก์จะต้องเก็บรักษาสมุดดังกล่าวไว้ในที่ซึ่งมั่นคงปลอดภัย และต้องไม่มอบเช็คที่ยังไม่กรอกข้อความให้แก่ผู้อื่นเป็นอันขาด หากโจทก์ละเลยหรือประมาทเลินเล่อให้บุคคลอื่นได้เช็คไปปลอมลายมือชื่อของโจทก์และธนาคารจำเลยจ่ายเงินไปตามเช็คนั้นจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์สำหรับจำนวนเงินที่จ่ายไป ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน จำเลยแถลงรับว่า รายงานการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญเอกสารหมาย จ.ล.1 เป็นความเห็นที่ถูกต้อง โจทก์แถลงรับว่าได้เปิดบัญชีกระแสรายวันตามเอกสารหมาย ล.1 ได้รับสมุดเช็คตามตัวอย่างสมุดเช็คเอกสารหมาย ล.2 จากจำเลยและการ์ดบัญชีเงินฝากเอกสารหมาย ล.3 ถูกต้อง ศาลเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 549,550 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์สำหรับเงินจำนวนที่จ่ายไปตามเช็คพิพาท 2 ฉบับดังกล่าวหรือไม่เพียงใด ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือชื่อปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอำนาจให้ลงก็ดีท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอำนาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลยใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทำให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดีหรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทำได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงยึดหน่วงหรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมหรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอำนาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้” เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท 2 ฉบับ เป็นลายมือปลอมมิใช่ลายมือของโจทก์ดังนั้นจำเลยจึงไม่อาจบังคับการใช้เงินจากโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาได้จำเลยจึงหาหลุดพ้นความรับผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ อนึ่งจำเลยประกอบธุรกิจการธนาคารเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน การรับฝากเงินเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งของจำเลย และการจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้มาขอเบิกเงินจากธนาคารเป็นงานส่วนหนึ่งของจำเลย ซึ่งจะต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำ จำเลยย่อมมีความชำนาญในการตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คว่า เป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายหรือไม่ยิ่งกว่าบุคคลธรรมดาทั้งจำเลยจะต้องมีความระมัดระวังในการจ่ายเงินตามเช็คยิ่งกว่าวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเพราะเป็นธุรกิจของจำเลย การที่จำเลยจ่ายเงินตามเช็คพิพาท 2 ฉบับ ให้แก่ผู้นำมาเรียกเก็บเงินไปโดยที่ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่ใช่ลายมือชื่อโจทก์ ทั้งที่มีตัวอย่างลายมือชื่อโจทก์ที่ให้ไว้กับธนาคารกับมีเช็คอีกหลายฉบับที่โจทก์เคยสั่งจ่ายไว้อยู่ที่ธนาคารจำเลยไปเช่นนี้ จึงเป็นการขาดความระมัดระวังของจำเลยผู้ประกอบธุรกิจการธนาคารเป็นการกระทำละเมิดและผิดสัญญาฝากทรัพย์ต่อโจทก์และจำเลยจะอ้างเอาข้อตกลงตามคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 20 และ 21 ดังกล่าวมาแล้วเป็นข้อยกเว้นว่าโจทก์ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้ตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง ตอนท้ายหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยได้มอบสมุดเช็คไว้ให้แก่โจทก์เพื่อสั่งจ่ายเงินตามเช็คโดยสมุดเช็คแต่ละเล่มมีจำนวนเช็ค 20 ฉบับ ก่อนหน้านั้นเช็คพิพาท 2 ฉบับ รวมอยู่ในสมุดเช็คที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์ข้อเท็จจริงที่ว่าเช็คพิพาทตกไปอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่นจนกระทั่งสามารถนำแบบพิมพ์เช็คทั้งสองฉบับมาปลอมลายมือชื่อโจทก์ได้นั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่า โจทก์ละเลยไม่ระมัดระวังในการดูแลรักษาแบบพิมพ์เช็คดังกล่าวอันถือได้ว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย การกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงใดต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา223 วรรคหนึ่ง, 438 และ 442 ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน 250,000 บาท ที่โจทก์ฎีกาว่าตามเงื่อนไขข้อที่ 20 และ 21 ตามคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย ล.1เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 373 นั้น แม้จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 250,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share