คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โพยสลากกินรวบเป็นภาพถ่ายจากเครื่องถ่ายเอกสารไม่ใช่ต้นฉบับ แต่ภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวเป็นบันทึกความจำเกี่ยวกับการเล่นการพนันสลากกินรวบมีจำนวนถึง656 แผ่นและมีลักษณะเหมือนเป็นโพยสลากกินรวบที่คนเดินโพยหรือเจ้ามือเป็นผู้ทำเพื่อส่งต่อให้เจ้ามือเหนือขึ้นไปอีกทอดหนึ่งจึงต้องถ่ายสำเนาเก็บไว้เป็นหลักฐาน แม้จะรับฟังเป็นพยานเอกสารไม่ได้ แต่ก็ฟังได้ว่าเป็นพยานวัตถุเกี่ยวแก่การเล่นการพนัน แม้โพยสลากกินรวบจะลงวันที่ 20 มีนาคม 2537 โดยไม่มีฉบับใดลงวันที่ 1 เมษายน2537 ก็ตาม แต่การเล่นการพนันสลากกินรวบครั้งเกิดเหตุนี้เจ้ามือผู้รับกินรับใช้ถือเอาผลการออกสลากกินแบ่งของรัฐบาลประจำงวดวันที่ 1 เมษายน 2537 เป็นเลขถูกสลากกินรวบและลูกค้าผู้เข้าเล่นจะได้รับสินพนัน ดังนั้น การที่มีผู้แทงหรือผู้เข้าเล่นล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวันจึงเป็นเรื่องปกติวิสัยหาเป็นเรื่องน่าระแวงสงสัยแต่อย่างใด
แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นภริยาจำเลยที่ 3 แต่จำเลยที่ 1 ก็เปิดร้านเสริมสวยซึ่งเป็นธุรกิจของตนเองอยู่คนละชั้นกับจำเลยที่ 3 แยกเป็นสัดส่วนต่างหากจากกัน และการที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขณะถูกจับอยู่อาคารเดียวกันแต่คนละชั้นกันจะถือว่าจำเลยที่ 1 ถูกจับในที่เกิดเหตุไม่ได้ กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 3
แม้จำเลยที่ 3 จะฎีกาว่าการเล่นการพนันสลากกินรวบ จะต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ประกอบด้วยผู้เข้าเล่นกับเจ้ามือรับกินรับใช้หรือผู้เดินโพย จึงจะถือว่าเป็นการเล่นการพนันสลากกินรวบได้ และในการจับโพยสลากกินรวบได้ที่จำเลยที่ 3 ก็ไม่มีบุคคลที่จะเป็นผู้เข้าเล่นด้วยก็ตาม แต่เมื่อฟ้องโจทก์บรรยายว่า ส่วนพวกที่หลบหนีเป็นผู้เข้าร่วมเล่น แสดงว่าผู้จัดให้มีการเล่นและผู้เข้าเล่นอยู่ห่างกันโดยระยะทาง จึงไม่สามารถจับกุมได้ถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว
แม้จำเลยที่ 3 มีอาชีพเป็นหลักแหล่งและไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนก็ตาม แต่จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าสำนักและเจ้ามือสลากกินรวบ ยอดจำนวนเงินที่ปรากฏในการเล่นสลากกินรวบมีจำนวนมากถึง 4,801,152 บาท แสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้ามือรายใหญ่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง อีกทั้งการพนันสลากกินรวบเป็นสิ่งมอมเมาและเป็นอบายมุขที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของบ้านเมือง การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 10, 12, 14 ทวิ, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,91 ริบของกลางและจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับ

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ. 2478 มาตรา 12(1) รวมสองกระทง การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 2 อายุไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 76 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทงละ 6 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 12 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 8 เดือน ริบของกลาง คำขอในส่วนสินบนนำจับให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนเครื่องโทรสาร เครื่องถ่ายเอกสาร ตรายาง หมึกสำหรับประทับตรายาง กระดานไวท์บอร์ดปากกาลูกลื่น ปากกาเมจิก เครื่องเย็บกระดาษ และลวดเย็บกระดาษของกลางแก่เจ้าของนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ และปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดหรือไม่ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกนพดลและจ่าสิบตำรวจประพันธ์ได้ไปตรวจค้นที่บ้านจำเลยที่ 1 และที่ 3 พบจำเลยที่ 1 อยู่ชั้นล่างของบ้านเป็นร้านเสริมสวย และพบจำเลยที่ 2 และที่ 3 อยู่ในห้องชั้นสองนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานคนละตัว จึงได้ตรวจค้นและยึดโพยสลากกินรวบหมาย จ.1 และของกลางรวม 11 รายการ ตามบัญชีของกลางเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งอยู่ในห้องดังกล่าว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งสามร่วมเล่นการพนันสลากกินรวบหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจเอกทัศนะ คล่องพยาบาล ผู้เชี่ยวชาญของศาลซึ่งเป็นผู้ตรวจเอกสารดังกล่าวเป็นพยานเบิกความว่า โพยสลากกินรวบหมาย จ.1 เป็นบันทึกความจำเกี่ยวแก่การเล่นการพนันสลากกินรวบ บันทึกความจำดังกล่าวมีลักษณะเหมือนเป็นโพยสลากกินรวบที่คนเดินโพยหรือเจ้ามือผู้ทำเพื่อส่งต่อให้แก่เจ้ามือเหนือขึ้นไปอีกทอดหนึ่ง แต่ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นใคร เห็นว่า แม้โพยสลากกินรวบหมาย จ.1 เป็นภาพถ่ายไม่ใช่ต้นฉบับและเป็นภาพถ่ายจากเครื่องถ่ายเอกสารก็ตาม แต่ภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวเป็นบันทึกความจำเกี่ยวแก่การเล่นการพนันสลากกินรวบมีจำนวนถึง 656 แผ่น และบันทึกความจำดังกล่าวมีลักษณะเหมือนเป็นโพยสลากกินรวบที่คนเดินโพยหรือเจ้ามือเป็นผู้ทำเพื่อส่งต่อให้เจ้ามือเหนือขึ้นไปอีกทอดหนึ่ง จึงต้องถ่ายสำเนาเก็บไว้เป็นหลักฐาน สำเนาดังกล่าวแม้จะรับฟังเป็นพยานเอกสารไม่ได้ แต่ก็ฟังได้ว่าเป็นพยานวัตถุเกี่ยวแก่การเล่นการพนันแม้โพยสลากกินรวบหมาย จ.1 จะลงวันที่ 20 มีนาคม 2537 โดยไม่มีฉบับใดลงวันที่ 1 เมษายน 2537 ก็ตาม แต่การเล่นการพนันสลากกินรวบครั้งเกิดเหตุนี้เจ้ามือผู้รับกินรับใช้ถือเอาผลการออกสลากกินแบ่งของรัฐบาลประจำงวดวันที่ 1 เมษายน 2537 เป็นเลขถูกสลากกินรวบ และลูกค้าผู้เข้าเล่นจะได้รับสินพนัน ดังนั้น การที่มีผู้แทงหรือผู้เข้าเล่นล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวันจึงเป็นเรื่องปกติวิสัยหาเป็นเรื่องน่าระแวงสงสัยแต่อย่างใด ส่วนยอดเงินตามโพยมีมากถึง 4,801,152 บาท แต่ขณะจับมีเงินอยู่เพียง 6,281 บาท เป็นเหตุการณ์ปกติในวงการพนัน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งสามร่วมกระทำความผิดหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นภริยาจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ถูกจับชั้นล่างของบ้าน ถือว่าถูกจับในที่เกิดเหตุเช่นกันนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นภริยาจำเลยที่ 3 แต่จำเลยที่ 1 ก็เปิดร้านเสริมสวยซึ่งเป็นธุรกิจของตนเองอยู่คนละชั้นกับจำเลยที่ 3 แยกเป็นสัดส่วนต่างหากจากกัน และการที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขณะถูกจับอยู่อาคารเดียวกันแต่คนละชั้นกันจะถือว่าจำเลยที่ 1 ถูกจับในที่เกิดเหตุไม่ได้ ดังนั้นพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิด ส่วนจำเลยที่ 2โจทก์ฎีกาว่า เจ้าพนักงานตำรวจพบอยู่ในห้องชั้นสองของบ้าน ซึ่งเป็นห้องทำงานของจำเลยที่ 3 ลักษณะคล้ายกับกำลังรับหรือส่งโทรสารถูกจับได้ในห้องเกิดเหตุ เห็นว่า จากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกนพดล และจ่าสิบตำรวจประพันธ์ว่า ขณะพบจำเลยที่ 2 กำลังนั่งที่โต๊ะเอกสาร ซึ่งมีเครื่องโทรสารวางอยู่ ลักษณะคล้ายจำเลยที่ 2 กำลังส่งโทรสาร แต่จำเลยที่ 2 และนายสุรศักดิ์ จิตต์ภาวนาสกุล เบิกความได้ความว่าจำเลยที่ 2ไปหานายสุรศักดิ์ที่บ้านและรอคอยนายสุรศักดิ์ที่ห้องดังกล่าวจึงถูกจับ ข้อเท็จจริงยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิด ส่วนจำเลยที่ 3 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโพยสลากกินรวบหมาย จ.1 เป็นโพยสลากกินรวบอยู่ในห้องทำงานของจำเลยที่ 3 มีจำนวนมากถึง 656 แผ่น ซึ่งจำเลยที่ 3 นำสืบเพียงว่าโพยสลากกินรวบหมาย จ.1 จะมีผู้ใดทำขึ้นไม่ทราบ ส่วนเงินสดของกลางที่ยึดไปได้เป็นของจำเลยที่ 1 เป็นการนำสืบลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นสลากกินรวบโดยเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ หรือมิฉะนั้นเป็นผู้รับโพยสลากกินรวบแล้วนำส่งไปให้เจ้ามือรายใหญ่กว่า จึงถือว่าจำเลยที่ 3 เป็นเจ้ามือผู้รับกินรับใช้แล้ว อีกทั้งจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของสถานที่ จึงถือว่าเป็นเจ้าสำนักผู้จัดให้มีการเล่นสลากกินรวบ ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า การเล่นการพนันสลากกินรวบนั้น จะต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปประกอบด้วยผู้เข้าเล่นกับเจ้ามือรับกินรับใช้หรือผู้เดินโพย จึงจะถือว่าเป็นการเล่นการพนันสลากกินรวบได้ แต่ข้อเท็จจริงในคดีได้ความเพียงว่า จับโพยสลากกินรวบได้ที่จำเลยที่ 3 เท่านั้น ไม่มีบุคคลที่จะเป็นผู้เข้าเล่น คงมีเพียงเอกสารจากเครื่องถ่ายเอกสารเท่านั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมีพยานหลักฐานเพียงโพยสลากกินรวบ หมาย จ.1 ซึ่งฟังว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นโดยเป็นผู้รับกินรับใช้ก็ตาม แต่ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่า ส่วนพวกที่หลบหนีเป็นผู้เข้าร่วมเล่น แสดงว่าผู้จัดให้มีการเล่นและผู้เข้าเล่นอยู่ห่างกันโดยระยะทาง จึงไม่สามารถจับกุมได้ ถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่าแม้จำเลยที่ 3 จะมีอาชีพเป็นหลักแหล่งและไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนก็ตาม แต่จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าสำนักและเจ้ามือสลากกินรวบ ยอดจำนวนเงินที่ปรากฏในการเล่นการพนันสลากกินรวบมีจำนวนมาก แสดงว่าจำเลยที่ 3 เป็นเจ้ามือรายใหญ่ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองอีกทั้งการพนันสลากกินรวบเป็นสิ่งมอมเมาและเป็นอบายมุขที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของชาติบ้านเมือง การกระทำของจำเลยที่ 3จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์และจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share