คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 628/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ลักษณะการทำงานของโจทก์ไม่มีรูปแบบแผนที่แน่นอน ไม่เคร่งครัดเรื่องเวลาทำงาน ผิดไปจากลักษณะการทำงานของพนักงานอื่นในหน่วยงานของจำเลย การทำงานของโจทก์มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือตามคำขอของ ส. กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย มิใช่เป็นการทำงานตามคำสั่งของจำเลย ขณะที่โจทก์ทำงานให้จำเลย จำเลยไม่มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์ แต่มีลักษณะว่าโจทก์มีอำนาจบริหารกิจการจำเลยทุกอย่างแล้วแต่โจทก์จะเห็นสมควรเอง แม้จะมีการจ่ายค่าตอบแทนให้โจทก์กับมีหนังสือของ ส. ขอให้โจทก์เข้ามาทำงานให้ก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวก็มิใช่นายจ้างและลูกจ้างกัน เมื่อโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลย โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนายสมสวัสดิ์ รอดศัตรู เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของจำเลยและเดิมเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลย เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2539 จำเลยจ้างโจทก์ทำหน้าที่ประธานกรรมการบริหารของจำเลยมีหน้าที่บริหารงานทั่วไป โดยจำเลยตกลงจ้างโจทก์ในอัตราเดือนละ 80,000 บาท เมื่อหักภาษีและเงินประกันสังคมแล้วเหลือสุทธิ 71,275 บาท โจทก์ทำงานในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของจำเลยเรื่อยมา แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงโดยไม่จ่ายเงินเดือนให้โจทก์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2542 เป็นต้นมา จนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 โจทก์จึงลาออกจากการเป็นประธานกรรมการบริหารของจำเลย จำเลยติดค้างเงินเดือนตามข้อตกลงการจ้างรวมทั้งสิ้น 1,296,000 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างที่ค้างและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,379,160 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 1,296,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลย แต่เป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยคนหนึ่ง เงินจำนวน 80,000 บาท ต่อเดือนไม่ใช่ค่าจ้าง แต่เป็นเงินที่กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยได้ตกลงแบ่งปันกันเพราะจำเลยมีกำไร กลางปี 2542 จำเลยขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงไม่มีเงินที่จะนำมาแบ่งปันกัน กรรมการของจำเลยก็ตกลงที่จะไม่รับเงินนี้ แต่พนักงานของจำเลยยังได้รับเงินเดือนทุกคน โจทก์ไปตั้งบริษัทเทรนเลสส์ เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด มีโจทก์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจและเป็นผู้บริหาร มีรายได้เป็นของตนเอง ส่วนบริษัทจำเลยโจทก์ไม่ได้บริหารงานอีกต่อไป โดยนายสมสวัสดิ์ รอดศัตรู เป็นผู้บริหารจนถึงปัจจุบัน โจทก์ไม่มีเงินเดือนและไม่มีการจ้างงานกันจริง เรื่องการนำส่งเงินภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย และเงินประกันสังคมเป็นเรื่องของฝ่ายบัญชีที่ทำขึ้นและเป็นการภายใน โจทก์รู้และทราบดีว่าไม่มีการจ่ายเงินเดือนกันจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลย นายสมสวัสดิ์ได้ขอให้โจทก์มาช่วยบริหารกิจการให้จำเลยตั้งแต่ปี 2539 โจทก์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย โจทก์มีอำนาจบริหารกิจการจำเลยทุกอย่างจนเดือนกุมภาพันธ์ 2544 นายสมสวัสดิ์ได้จดทะเบียนให้โจทก์ออกจากการเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยในการบริหารงานแล้วแต่โจทก์จะเห็นสมควรทำอย่างไรก็ได้ ไม่มีกำหนดเวลาทำงานแน่นอน โจทก์ไม่อยู่ใต้ข้อบังคับในการทำงานของจำเลย แต่จำเลยให้ค่าตอบแทนเดือนละ 100,000 บาท โดยมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายและเงินประกันสังคมด้วย เห็นว่า ลักษณะการทำงานของโจทก์ไม่มีรูปแบบแผนที่แน่นอน ไม่เคร่งครัดเรื่องเวลาทำงานผิดไปจากลักษณะการทำงานของพนักงานอื่นในหน่ายงานของจำเลย การทำงานของโจทก์มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือตามคำขอของนายสมสวัสดิ์ มิใช่เป็นการทำงานตามคำสั่งของจำเลย ขณะที่โจทก์ทำงานให้จำเลย จำเลยไม่มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์แต่มีลักษณะว่าโจทก์มีอำนาจบริหารกิจการจำเลยทุกอย่างแล้วแต่โจทก์จะเห็นสมควรเอง แม้จะมีการจ่ายค่าตอบแทนให้โจทก์ กับมีหนังสือของนายสมสวัสดิ์ขอให้โจทก์เข้ามาทำงานให้ตามเอกสารหมาย ล.2 ก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าว จึงมิใช่นายจ้างและลูกจ้างกัน เมื่อโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลย โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยและไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างตามฟ้องหรือไม่ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share