แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 48 บัญญัติว่า “การพิจารณาคดีแรงงานให้ศาลแรงงานคำนึงถึงสภาพการทำงาน ภาวะค่าครองชีพ ความเดือดร้อนของลูกจ้าง… รวมทั้งฐานะแห่งกิจการของนายจ้าง… ประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนดให้เป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่ายด้วย” การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเพียงว่าการเลิกจ้างโจทก์ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เป็นคำวินิจฉัยลอยๆ โดยไม่มีเหตุผลประกอบ ทั้งๆ ที่จำเลยให้เหตุผลในการเลิกจ้างว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง และข้อที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยจ้างโจทก์มาตั้งแต่ปี 2540 และมีค่าจ้างสูงถึงเดือนละ 30,000 บาท หากไม่มีประสิทธิภาพตั้งแต่แรกจำเลยน่าจะเลิกจ้างเสียตั้งแต่แรก แต่กลับจ้างมานานหลายปีนั้น เหตุผลดังกล่าวไม่เพียงพอให้รับฟังว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง หรือไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานอันจะเป็นการหักล้างเหตุผลหรือข้ออ้างของจำเลย แสดงว่าศาลแรงงานกลางมิได้นำฐานะแห่งกิจการของจำเลยมาประกอบการพิจารณาด้วย จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2540 โจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนกคอมพิวเตอร์ได้รับเงินเดือนเดือนละ 30,000 บาท ค่าตำแหน่ง 4,000 บาท ต่อมาจำเลยโอนย้ายโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหลายครั้ง หลังสุดย้ายไปเป็นพนักงานหน่วยนิติการและติดตามหนี้สิน (FAX CLAM) ได้รับเงินเดือนเดือนละ 31,260 บาท โดยไม่มีค่าตำแหน่ง วันที่ 29 ตุลาคม 2544 จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุการณ์ปรับโครงสร้างองค์การให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2544 อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยมิได้แจ้งวันที่จะเลิกจ้าง เหตุผลในการเลิกจ้างและรายชื่อลูกจ้างต่อพนักงานตรวจแรงงาน ทั้งมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าตามกฎหมาย ความจริงจำเลยไม่มีการปรับโครงสร้างองค์กร จำเลยถูกบริหารโดยผู้ทำแผนซึ่งเป็นบริษัทรับจ้างบริหารตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลางมีการบริหารไม่เป็นธรรม เล่นพรรคเล่นพวก โจทก์ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด และจำเลยไม่จำเป็นต้องเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายเท่ากับเงินเดือนสุดท้ายเดือนละ 31,260 บาท เป็นเวลา 15 ปี ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานโดยให้ได้รับค่าจ้างในอัตราค่าจ้างขณะเลิกจ้าง หรือให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 5,626,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้บริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์สคอร์ปอเรทรีสตรัคเจอร์ริ่ง จำกัด ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ต่อมาวันที่ 4 กรกฎาคม 2544 จึงมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการและตั้งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้บริหารแผน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากจำเลยอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ จำเลยมิได้กลั่นแกล้งหรือเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม เนื่องจากภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจเป็นเหตุให้จำเลยต้องปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อความอยู่รอด โจทก์มีความรู้ความสามารถจริงด้านคอมพิวเตอร์ เมื่อย้ายให้ไปทำงานในตำแหน่งพนักงานบริการลูกค้าประกัน (FAX CLAM) ก็ไม่มีประสบการณ์และความรู้ด้านการแพทย์ในระดับดีพอที่จะปฏิบัติงานถึงขนาดที่จำเลยได้รับการร้องเรียนจากบริษัทประกันภัยเสมอ สาเหตุแท้จริงของการเลิกจ้างเนื่องจากโจทก์ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานตามหน้าที่และไม่มีมนุษยสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานของโจทก์ เหตุที่จำเลยระบุเหตุเลิกจ้างโจทก์เพียงว่าเนื่องจากปรับโครงสร้างองค์กรก็เพื่อไม่ให้โจทก์เสียโอกาสในการหางานใหม่ จำเลยจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้โจทก์แล้ว จำเลยบอกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2544 ให้มีผลวันที่ 1 ธันวาคม 2544 ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเป็นเรื่องในอนาคต ไกลกว่าเหตุ ทั้งการรับโจทก์กลับเข้าทำงานจะก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 120,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 48 หรือไม่ และการเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโดยมิได้นำความเสียหายของจำเลยอันเนื่องมาจากโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องมาพิจารณาประกอบเหตุผลในการเลิกจ้าง ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 48 เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “การพิจารณาคดีแรงงานให้ศาลแรงงานคำนึงถึงสภาพการทำงาน ภาวะค่าครองชีพ ความเดือดร้อนของลูกจ้าง… รวมทั้งฐานะแห่งกิจการของนายจ้าง… ประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนดให้เป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่ายด้วย” การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเพียงว่าการเลิกจ้างโจทก์ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เป็นคำวินิจฉัยลอยๆ โดยไม่มีเหตุผลประกอบ ทั้งๆ ที่จำเลยให้เหตุผลในการเลิกจ้างว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง และข้อที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยจ้างโจทก์มาตั้งแต่ปี 2540 และมีค่าจ้างสูงถึงเดือนละ 30,000 บาท หากไม่มีประสิทธิภาพตั้งแต่แรกจำเลยน่าจะเลิกจ้างเสียแต่แรกแต่กลับจ้างมานานหลายปีนั้น เหตุผลดังกล่าวไม่เพียงพอให้รับฟังว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานอันจะเป็นการหักล้างเหตุผลหรือข้ออ้างของจำเลย แสดงว่าศาลแรงงานกลางมิได้นำฐานะแห่งกิจการของจำเลยมาประกอบการพิจารณาด้วยจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 48 ชอบที่ศาลแรงงานกลางจะต้องรับฟังข้อเท็จจริงส่วนนี้ก่อนแล้วจึงวินิจฉัยข้อกฎหมาย นอกจากนี้คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางที่ว่าข้ออ้างของจำเลยไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานด้วยเหตุผลในลักษณะเป็นเพียงความคิดเห็น โดยมิได้นำพยานหลักฐานตามทางนำสืบของโจทก์จำเลยมาพิจารณาปะกอบแต่อย่างใด คำวินิจฉัยส่วนนี้จึงไม่ชอบเช่นกัน จึงมีเหตุสมควรยกคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบด้วยมาตรา 247 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงใหม่และมีคำพิพากษาต่อไปตามรูปคดี