แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อเรือกลไฟของจำเลยโยงเรือเหมาและทำไห้เรือที่โยงนั้นล่ม คดีย่อมเข้ามาตรา 437 ซึ่งจำเลยต้องรับผิดเพื่อการเสียหายอันเกิดแก่เรือที่โยงนั้น เรือที่ถูกโยงจะเปนเรืออะไรไม่เปนข้อวินิฉัย
เจ้าของข้าวจ้างผู้อื่นบันทุกข้าว เจ้าของเรือจ้างเรือกลไฟจูงเมื่อเรือบันทุกข้าวล่ม เจ้าของข้าวฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเจ้าของเรือกลไฟถานละเมิดได้.
ย่อยาว
โจทฟ้องขอไห้จำเลยรับผิดร่วมกัน ไช้ค่าเสียหาย ๑๔๑๙ บาท ไนการที่เรือจำเลยรับจ้างโยงเรือนายอ่อนบันทุกข้าวเปลือกของโจททำไห้เรือล่มโดยความประมาทเลินเล่อโดยโยงเรือชิดตลิ่ง เรือกะทบตลิ่งล่มลง ข้าวเปลือกเสียหายทั้งลำ จำเลยที่ ๑ รับว่าเปนเจ้าของเรือ จำเลยที่ ๒ รับว่าเปนนายท้ายและลูกจ้างจำเลยที่ ๑ และต่อสู้ว่าเรือล่มเพราะเหตุสุดวิสัย สาลชั้นต้นกะประเด็นไห้จำเลยสืบก่อน จำเลยไม่ขอไห้สาลตัดสิน สาลชั้นต้นวินิฉัยว่า จำเลยไม่สืบก็ต้องรับจำนองต่อการเสียหายที่เกิดขึ้น พิพากสาไห้จำเลยทั้ง ๒ ไช้เงินแก่โจทตามฟ้อง
จำเลยอุธรน์ สาลอุธรน์พิพากสายืน แต่มีความเห็นแย้งว่าควนพิจารนาพิพากสาไหม่โดยโจทนำสืบก่อน
จำเลยดีกา สาบดีกาเห็นว่าไนข้อหน้าที่นำสืบตามข้อเท็ดจิงที่รับกันเรือจำเลยซึ่งเปนเรือกลไฟได้โยงเรือบันทุกข้าวของโจทและเรือนั้นได้ล่มจิง คดีจึงเจ้ามาตรา ๔๓๗ ประมวนแพ่งฯ ที่บัญญัติว่าจำเลยจะต้องรับผิดเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายเอง ฉะนั้นจึงตกหน้าที่จำเลยนำสืบเพื่อไห้พ้นความผิด (คือสืบว่าเรือล่มเพราะเหตุได จึงตามข้อต่อสู้ที่ว่าล่มเพราะเหตุสุดวิสัยหรือไม่) ดีกาจำเลยที่ว่าเรือที่ล่มเช่นนี้จะเรียกว่าพาหนะเดินด้วยเครื่องจักรกลตามความไนประมวนแพ่งฯ มาตรา ๔๓๗ ไม่ได้ เพราะเรือพ่วงไม่มีเครื่องจักรกลไนตัวนั้นเมื่อเรือที่จำเลยโยงเรือเหมาและทำไห้เรือล่มเปนเรือกลไฟ คดีก็เข้ามาตรา ๔๓๗ โดยชัดเรือที่ถูกโยงจะเปนเรืออะไรไม่เปนข้อวินิฉัย