คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6260/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องมีรถบรรทุกของกลางไว้เพื่อประกอบกิจการขนส่งสินค้าทางการเกษตร การที่ผู้ร้องกำชับจำเลยมิให้นำรถไปใช้ผิดกฎหมายหรือบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นเพียงวิธีการควบคุมเบื้องต้นและเป็นเรื่องภายในระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเท่านั้น แต่ผู้ร้องยังมีหน้าที่ตรวจตราโดยหาวิธีอื่นมาควบคุมมิให้จำเลยบรรทุกน้ำหนักเกินอีกด้วย และแม้จะฟังได้ว่ามีการนำรถบรรทุกของกลางไปตรวจชั่งน้ำหนักจริงก็ตาม แต่การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างให้จำเลยไปตรวจชั่งน้ำหนักที่สถานที่ตรวจชั่งน้ำหนักของเอกชนซึ่งมีมาตรฐานแตกต่างกับทางราชการจนทำให้มีการบรรทุกน้ำหนักเกินไปถึง 800 กิโลกรัมนั้น ส่อแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องปล่อยปละละเลยจนจำเลยขับรถบรรทุกของกลางบรรทุกมันสำปะหลังน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อันถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 61 วรรคหนึ่ง, 73/2 และริบรถบรรทุกพ่วง หมายเลขทะเบียน 84 – 1872 สุพรรณบุรี และตัวรถกึ่งพ่วง หมายเลขทะเบียน 84 – 1873 สุพรรณบุรี ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คืนรถบรรทุกพ่วงและตัวรถกึ่งพ่วงของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถบรรทุกพ่วง หมายเลขทะเบียน 84 – 1872 สุพรรณบุรี และตัวรถกึ่งพ่วง หมายเลขทะเบียน 84 – 1873 สุพรรณบุรี ของกลาง จำเลยเป็นลูกจ้างผู้ร้อง วันเกิดเหตุจำเลยนำรถบรรทุกพ่วงและตัวรถกึ่งพ่วงของกลางไปบรรทุกมันสำปะหลังไปส่งที่อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ในทางการที่จ้าง ระหว่างทางเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยในข้อหาใช้ยานพาหนะบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบรถบรรทุกพ่วงและตัวรถกึ่งพ่วงของกลาง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องและนางสาวนงลักษณ์ประกอบกิจการขนส่งสินค้าทางการเกษตรร่วมกัน การที่ผู้ร้องนำสืบโดยอ้างว่าได้มีการกำชับมิให้จำเลยนำรถบรรทุกพ่วงและตัวรถบรรทุกพ่วงไปใช้ผิดกฎหมายหรือบรรทุกน้ำหนักเกินแล้ว ก็เป็นเพียงวิธีการควบคุมเบื้องต้นและเป็นเรื่องภายในระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเท่านั้น แต่ผู้ร้องยังมีหน้าที่ตรวจตราโดยหาวิธีอื่นมาควบคุมมิให้จำเลยบรรทุกน้ำหนักเกิน ส่วนการที่ผู้ร้องนำสืบโดยอ้างว่า ก่อนจำเลยจะนำรถบรรทุกพ่วงและตัวรถกึ่งพ่วงของกลางไปแล่นบนทางหลวงแผ่นดินจำเลยได้นำรถบรรทุกพ่วงและตัวรถกึ่งพ่วงของกลางไปชั่งน้ำหนักที่ลานมันทรัพย์สมบูรณ์ แล้วน้ำหนักไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดนั้น ผู้ร้องคงมีเพียงจำเลยเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสืบสนับสนุนว่าได้มีการตรวจชั่งน้ำหนักจริงดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ทั้งที่นางสาวนงลักษณ์ก็เบิกความรับว่าจำเลยจะต้องมีใบชั่งน้ำหนักมาแสดงแก่พยาน และแม้หากจะฟังได้ว่ามีการนำรถบรรทุกพ่วงและตัวรถกึ่งพ่วงของกลางไปตรวจชั่งน้ำหนักจริงก็ตาม แต่การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างให้จำเลยไปตรวจน้ำหนักรถบรรทุกพ่วงและตัวรถกึ่งพ่วงของกลางที่สถานที่ตรวจชั่งน้ำหนักของเอกชนซึ่งมีมาตรฐานแตกต่างกับทางราชการจนทำให้มีการบรรทุกน้ำหนักเกินไปถึง 800 กิโลกรัมนั้นก็ส่อแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องปล่อยปละละเลยจนทำให้จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถบรรทุกพ่วงและตัวรถกึ่งพ่วงของกลางบรรทุกมันสำปะหลังน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อันถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share