คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6260/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่ง เดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพราะต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลย ทั้งสองได้เอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งเป็นคดีล้มละลาย หมายเลขคดีดำที่ ล.๔๗๓/๒๕๓๕ คดีหมายเลขแดงที่ ล.๔/๒๕๓๖ การฟ้องคดี ดังกล่าวเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังทำให้โจทก์ได้รับ ความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘, ๘๓, ๙๐ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้อง ต่อมาได้เพิกถอนคำสั่งและมีคำสั่งใหม่ เป็นไม่รับฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์ แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ย่อมถือ ได้ว่าเป็นคำสั่งไม่ประทับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๑ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหา ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แม้ว่าคดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวน มูลฟ้องก็ตาม เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ไว้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share