แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซื้อเครื่องกำจัดน้ำเสียกับพลาสติกมีเดีย จากโจทก์ โจทก์ส่งมอบสินค้าครบถ้วนแต่จำเลยที่ 1ชำระค่าสินค้าไม่ครบ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าสินค้าที่ยังค้างชำระพร้อมดอกเบี้ย โจทก์แนบสำเนาใบส่งของและสำเนาหนังสือแจ้งยอดเงินค้างชำระไว้ท้ายคำฟ้องปรากฏรายการสินค้าที่โจทก์ส่งให้จำเลยที่ 1 และราคาสินค้าทั้งหมด รวมทั้งรายการชำระเงินค่าสินค้าของจำเลยที่ 1 ซึ่งเมื่อหักกลบลบกันแล้วเหลือยอดเงินค้างชำระตามที่โจทก์ฟ้อง เช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 ส่วนมีการซื้อขายกี่ครั้งครั้งละเท่าใด เป็นเงินเท่าใด ชำระแล้วเมื่อใด ค้างชำระการซื้อขายครั้งใด เท่าใด เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม การซื้อขายมีราคาเกินกว่า 500 บาท โดยมิได้ทำสัญญาหรือทำหลักฐานเป็นหนังสือหรือวางประจำไว้ แต่มีการทำหนังสือรับสภาพหนี้กันไว้ โจทก์ส่งมอบสินค้าให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ชำระราคาบ้างแล้วถือว่าการซื้อขายรายนี้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับคดีได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มีผู้เป็นหุ้นส่วน3 คน การที่จำเลยที่ 1 มอบให้ ส. หุ้นส่วนคนหนึ่งเสนอประมูลราคาก่อสร้างงานของมหาวิทยาลัยขอนแก่นลงชื่อเป็นคู่สัญญาแทนจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างตามสัญญา พนักงานของโจทก์ติดต่อกับ ส. ขายสินค้าให้จำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ส่งสินค้าให้จำเลยที่ 1 ก็ชำระค่าสินค้าให้โจทก์บางส่วน ถือได้ว่าจำเลยที่ 1เชิด ส. ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 821เมื่อ ส. ลงลายมือชื่อรับรองรายการส่งสินค้าพร้อมราคาและรายการชำระเงินค่าสินค้าบางส่วนซึ่งเมื่อหักกลบลบกันแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้โจทก์ดังนี้เอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยนายสมนึก ผดุงเกติได้ติดต่อซื้อพลาสติกมีเดียและเครื่องจ่ายน้ำเสียจากโจทก์ โจทก์ได้ส่งสินค้าให้จำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าสินค้าไม่ครบถ้วน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน443,000 บาท และค่าเสียหาย 132,900 บาท รวมเป็นเงิน615,696.70 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเคยฟ้องนางศศิธร ผดุงเกติ ให้ชำระราคาสินค้าแล้วจำนวน 310,000 บาทอีกทั้งการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ในราคาเกินกว่า 500 บาท ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกหนี้จำนวน 310,000 บาทอีกการกระทำของนายสมนึก ผดุงเกติ ไม่ผูกพันจำเลยทั้งสอง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 133,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาข้อแรกที่จะวินิจฉัยมีว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 โดยนายสมนึก ผดุงเกติ ได้ซื้อเครื่องกำจัดน้ำเสียกับพลาสติกมีเดียจากโจทก์ โจทก์ส่งมอบสินค้าตามที่สั่งซื้อครบถ้วน แต่จำเลยที่ 1 ยังชำระค่าสินค้าไม่ครบ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าสินค้าที่ยังค้างชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ย โจทก์ได้แนบสำเนาใบส่งของและสำเนาหนังสือแจ้งยอดเงินค้างชำระไว้ท้ายฟ้องด้วย ซึ่งตามสำเนาเอกสารดังกล่าวก็ปรากฏรายการสินค้าที่โจทก์ส่งให้แก่จำเลยที่ 1 และราคาสินค้าทั้งหมดรวมทั้งรายการชำระเงินค่าสินค้าของจำเลยที่ 1 ซึ่งเมื่อหักกลบลบกันแล้ว คงเหลือยอดเงินที่ค้างชำระตามที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้เห็นว่า คำฟ้องคดีนี้ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา172 แล้ว โจทก์หาจำต้องบรรยายฟ้องว่า มีการซื้อขายกี่ครั้ง ครั้งละเท่าใด เป็นเงินเท่าใด ชำระแล้วเมื่อใด ค้างชำระการซื้อขายครั้งใดเท่าใดไม่ เพราะรายละเอียดดังกล่าวเป็นเรื่องที่อาจนำสืบพยานกันได้ในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาวินิจฉัยข้อต่อไปตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์เคยฟ้องเรียกหนี้ที่มีมูลหนี้รายเดียวกันนี้ทั้งการซื้อขายรายนี้โจทก์ก็ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือนั้นเห็นว่าสำหรับจำนวนหนี้ที่ค้างชำระในคดีนี้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางศศิธรผดุงเกติ ภรรยาของนายสมนึก ผดุงเกติ เคยออกเช็คชำระหนี้ตามยอดเงินที่ค้างชำระในคดีนี้บางส่วน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจึงถูกฟ้องให้รับผิดชำระเงินตามเช็ค แม้ศาลจะพิพากษาให้นางศศิธรผดุงเกติ ชำระเงินตามเช็ค แต่คดีดังกล่าวก็ยังอยู่ในระหว่างการบังคับคดีโดยไม่ปรากฏว่าได้มีการชำระหนี้ตามคำพิพากษาแต่อย่างใดอีกทั้งจำนวนเงินตามเช็คก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในจำนวนหนี้ในคดีนี้เท่านั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในคดีนี้ และแม้ว่าการซื้อขายรายนี้จะมีราคาเกินกว่าห้าร้อยบาทโดยมิได้มีการทำสัญญาหรือทำหลักฐานเป็นหนังสือหรือได้วางประจำไว้ แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าการซื้อขายรายนี้ได้มีการทำหนังสือรับสภาพหนี้กันไว้และโจทก์ได้ส่งมอบสินค้าให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้ชำระราคาบ้างแล้วจึงถือว่าการซื้อขายรายนี้ได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องร้องขอให้บังคับคดีได้ตามความในมาตรา 456 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ปัญหาวินิจฉัยข้อสุดท้ายว่า จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์และคดีขาดอายุความฟ้องร้องหรือไม่ เห็นควรวินิจฉัยพร้อมกันไปในคราวเดียวกันจำเลยทั้งสองฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะได้ชำระราคาสินค้าครบถ้วนแล้วและการกระทำของนายสมนึก ผดุงเกติ ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า… รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลที่มีผู้เป็นหุ้นส่วนเพียง 3 คน การที่จำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้นายสมนึกผดุงเกติ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งไปเสนอประมูลราคาก่อสร้างงานปรับปรุงระบบประปาและการกำจัดน้ำเสียของมหาวิทยาลัยขอนแก่นเมื่อประมูลได้งานก็ลงชื่อเป็นคู่สัญญาแทนจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างตามสัญญา เมื่อพนักงานของโจทก์ติดต่อกับนายสมนึก ผดุงเกติ และตกลงขายสินค้าให้จำเลยที่ 1 แม้จะไม่ปรากฏว่านายสมนึก ผดุงเกติ มีอำนาจสั่งซื้อสินค้าแทนจำเลยที่ 1แต่เมื่อโจทก์ส่งสินค้าให้ จำเลยที่ 1 ก็ได้ชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์มาบางส่วนแล้ว พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือได้ว่า จำเลยที่ 1ได้เชิดให้นายสมนึก ผดุงเกติ ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 การที่นายสมนึกผดุงเกติ ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งมีลักษณะเป็นหนังสือรับสภาพหนี้จึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 และเป็นผลให้อายุความสะดุดหยุดลง ซึ่งเมื่อนับแต่วันทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.7 จนถึงวันฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 2 ปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ…”
พิพากษายืน.