แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาชั้นบังคับคดีว่า จำเลยไม่ควรต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างจากที่ดินตามคำพิพากษาเพราะได้ทำสัญญาเช่าจากผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วทั้งหมดนอกจากนายชัยวัฒน์ โจทก์+แต่ในระหว่างอุทธร์ จำเลย+และนายชัยวัฒน์โจทก์ ได้มา+ศาลทำความตกลงกันยืดเวลาเพื่อให้จำเลยรื้อถอนภายในเวลา 3 เดือน ถ้ารื้อไม่เสร็จจำเลยยอมเสียค่าเสียหายวันละ 100 บาท ดังนี้ ต้องถือตามข้อตกลงนั้น มูลเดิมที่จำเลยอุทธรณ์เป็นอันหมดไป ไม่มีมูลที่จำเลยจะฎีกาอีก.
ย่อยาว
กรณีเดิมมีว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดิน คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญาเช่าจากผู่ถือกรรมสิทธิทั้งหมดนอกจากนายชัยวัฒน์โจทก์ซึ่งไม่ยินยอมและขอให้ศาลบังคับจำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นสั่งแนะนำว่าคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่มีเหตุอื่นที่จำเลยจะไม่ทำตามได้ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ในระหว่างอุทธรณ์ นายชัยวัฒน์โจทก์และฝ่ายจำเลยได้มาศาลทำความตกลงกันว่า จำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างจากที่ดินโจทก์ภายใน ๓ เดือน ถ้ารื้อไม่เสร็จจะใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ ๑๐๐ บาท ครบ ๓ เดือนแล้วจำเลยก็ยังไม่รื้อถอน ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้ยืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฏีกาเห้นว่า คดีนี้เป็นเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลเดิม แต่ระหว่างอุทธรณ์ โจทก์จำเลยได้ทำความตกลงโดยยืดเวลาให้จำเลยต่อไป ๓ เดือนและศาลได้รับรู้และรับบังคับบัญชาให้เช่นนี้ ก็ต้องถือตามข้อตกลงนั้น มูลเดิมที่จำเลยอุทธรณ์เป็นอันตกไปโดยข้อตกลงนั้นไม่มีมูลที่จำเลยจะฎีกาอีก
พิพากษายกฎีกาจำเลย