คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4198/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จะถือว่าผู้ประกอบกิจการอยู่ในฐานะนายจ้างของลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรงตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 35 และมีหน้าที่ต้องยื่นแบบรายการตามมาตรา 34 และจ่ายเงินสมทบสำหรับลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรงต่อสำนักงานประกันสังคม คนงานที่มาทำงานให้แก่ผู้ประกอบกิจการจะต้องเป็นลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรง
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าข้าวเมื่อโจทก์จะต้องขนข้าวลงเรือให้แก่ผู้ซื้อจากต่างประเทศ โจทก์จะว่าจ้าง ส. เป็นผู้รับเหมาค่าแรงทำการขนข้าวลงเรือ ส. จะแจ้งให้ ท. ไปจัดหากรรมกรตามจำนวนพอเหมาะกับปริมาณข้าวที่จะขนถ่ายลงเรือมาแบกขน ก่อนขนข้าวลงเรือกรรมกรจะต้องผสมข้าวด้วยเครื่องจักรภายในโกดังของโจทก์และบรรจุใส่กระสอบผ่านสายพานและให้กรรมกรรอแบกกระสอบข้าวจากปลายสายพานไปลงเรือ การทำงานดังกล่าวทั้งหมดของกรรมกรอยู่ภายใต้การควบคุมและสั่งการของ ส. ส. จึงมีอำนาจบังคับบัญชาเหนือกรรมกรทุกคน ประกอบกับ ส.เพียงผู้เดียวเป็นคนจ่ายค่าจ้างให้แก่กรรมกรที่มาแบกข้าวแต่ละวัน นิติสัมพันธ์ระหว่างส. กับกรรมกรดังกล่าวเข้าลักษณะจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 ส. จึงเป็นนายจ้างของกรรมกรทั้งหมด เมื่อปรากฏว่าส. ควบคุมกรรมกรให้ทำงานในโกดังอันเป็นสถานประกอบกิจการของโจทก์และใช้เครื่องมือที่สำคัญสำหรับใช้ทำงานที่โจทก์เป็นผู้จัดทำ โดยการทำงานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจของโจทก์ ดังนี้ โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะนายจ้างของกรรมกรทั้งหมดด้วยตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 35 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 จำเลยโดยกองตรวจสอบสำนักงานประกันสังคม มีหนังสือถึงโจทก์ว่า โจทก์ไม่ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนายจ้าง(ตามแบบ สปส 6-15) กรณีเปลี่ยนวันที่มีหน้าที่ชำระเงินสมทบจากวันที่ 1 มีนาคม 2542เป็นวันที่ 1 มกราคม 2541 และโจทก์ยังไม่ได้ชำระเงินสมทบตั้งแต่เดือนมกราคม 2541ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2542 รวมเป็นเงินค่าจ้าง 3,587,863 บาท และเป็นเงินสมทบประมาณ 75,546 บาท ตามหนังสือที่ รส 0705/1613 โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยที่ 1063/2543 ให้โจทก์จ่ายเงินสมทบตามที่กองตรวจสอบมีคำสั่ง โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องเนื่องจากโจทก์ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงนายจ้างเพิ่มจำนวนสาขา (ตามแบบ สปส 6-15) เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2542 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2541 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2542 โจทก์มีพนักงานเพียง 4 คน เท่านั้น ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวโจทก์จ่ายเงินเดือนเป็นค่าจ้างพนักงาน 4 คน เป็นเงิน 590,000บาท ค่าแรงกรรมกรเหมาจ่าย (เป็นค่าจ้างทำของ) เป็นเงิน 2,991,263 บาท โดยค่าแรงกรรมกรเหมาจ่ายซึ่งเป็นลักษณะของการจ้างทำของนี้ โจทก์จะว่าจ้างให้นายสุวัฒน์วรรณศิริกุล ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ใช่ลูกจ้างของโจทก์เป็นผู้จัดหากรรมกรหรือคนงานมาขนถ่ายสินค้าให้แก่โจทก์เป็นคราว ๆ โดยนายสุวัฒน์จะเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายค่าแรงกรรมกร เมื่อขนถ่ายสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจทก์จะจ่ายค่าจ้างให้แก่นายสุวัฒน์โดยคำนวณจากน้ำหนักสินค้าที่ขนถ่าย โจทก์ไม่มีอำนาจสั่งการหรือควบคุมบังคับบัญชากรรมกรที่ขนถ่ายสินค้าโจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับกรรมกรหรือคนงานในเรื่องการจ้าง การจ่ายค่าจ้าง และการควบคุมการทำงาน ดังนั้นการที่โจทก์ว่าจ้างนายสุวัฒน์จึงมีลักษณะเป็นการจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587โจทก์ไม่อยู่ในข่ายที่ต้องขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคมพ.ศ. 2533 มาตรา 84 และไม่ต้องส่งเงินสมทบตามที่กองตรวจสอบ สำนักงานประกันสังคม และคณะกรรมการอุทธรณ์วินิจฉัย ขอให้เพิกถอนคำสั่งของกองตรวจสอบสำนักงานประกันสังคม ตามหนังสือที่ รส 0705/1613 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2543 และคำวินิจฉัยของกรรมการอุทธรณ์ที่ 1063/2543 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2543

จำเลยให้การว่า โจทก์ยังไม่ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนายจ้าง (ตามแบบสปส 6-15) โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการค้าข้าว ในการซื้อหรือขายข้าวแต่ละคราวโจทก์ได้ว่าจ้างนายสุวัฒน์ วรรณศิริกุล เป็นผู้จัดหากรรมกรมาทำการผสมข้าวในโกดังและขนถ่ายสินค้าให้โจทก์ โดยกระทำในสถานประกอบการของโจทก์ เครื่องมือสำคัญที่ใช้ทำงานเป็นของโจทก์ การจ้างเหมาดังกล่าวเป็นการจ้างเหมาค่าแรงงาน มิใช่จ้างทำของโจทก์จึงอยู่ในฐานะนายจ้างกรรมกรดังกล่าว มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 35 ดังนั้น ในระหว่างเดือนมกราคม2541 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2542 คำนวณจากการที่โจทก์จ่ายเงินเดือนให้ลูกจ้าง 4 คนและจ่ายค่าแรงกรรมกรเหมาจ่ายแล้ว โจทก์มีลูกจ้างเกินกว่า 10 คน จึงต้องขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนและต้องส่งเงินสมทบตามกฎหมาย คำสั่งของกองตรวจสอบสำนักงานประกันสังคม รวมทั้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ รส 0705/1613 ลงวันที่14 มิถุนายน 2543 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 1063/2543 ลงวันที่ 2พฤศจิกายน 2543

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีลูกจ้าง 4 คน ประกอบธุรกิจข้าวขายให้แก่ผู้ซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งการซื้อขายและขนข้าวโจทก์จะจ้างเหมาให้นายสุวัฒน์ทำการขนข้าวลงเรือของผู้ซื้อ นายสุวัฒน์จะให้นายทรัพย์เป็นคนจัดหาคนงานหรือกรรมกรซึ่งเป็นคนงานรับจ้างรายวันเฉพาะกิจ เป็นการว่าจ้างเป็นคราว ๆ ไปแล้วแต่ความสมัครใจของกรรมกร เสร็จแล้วนายสุวัฒน์จะจ่ายเงินให้กรรมกรไปก่อนแล้วเบิกเงินค่าจ้างจากโจทก์ สำหรับงานที่กรรมกรทำนั้นก่อนจะขนข้าวลงเรือจะต้องมีการผสมข้าวด้วยเครื่องจักรบรรจุใส่กระสอบผ่านสายพานแล้วคนงานแบกกระสอบข้าวจากปลายสายพานนำไปลงเรือ เครื่องจักรดังกล่าวอยู่ในโกดังที่โจทก์และบริษัทไทยฟ้า 2511 จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจขนข้าวเช่นเดียวกัน มีสำนักงานในบริเวณอาณาเขตเดียวกัน โกดังตลอดจนเครื่องจักรดังกล่าวเป็นของโจทก์และบริษัทไทยฟ้า 2511 จำกัด ใช้ประโยชน์ร่วมกัน การทำงานของคนงานที่นายสุวัฒน์ให้นายทรัพย์จัดหาทำในสถานที่ทำงานของโจทก์ และเครื่องมือที่สำคัญสำหรับใช้ทำงานเป็นของโจทก์ การกระทำดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบธุรกิจของโจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า กรณีมีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยตามหนังสือที่ รส 0705/1613 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2543 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 1063/2543 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2543 หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคมพ.ศ. 2533 มาตรา 35 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการได้ว่าจ้างโดยวิธีเหมาค่าแรงมอบให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดรับช่วงไปควบคุมดูแลการทำงานและรับผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างอีกทอดหนึ่งก็ดี มอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้จัดหาลูกจ้างมาทำงานอันมิใช่การประกอบธุรกิจจัดหางานก็ดี โดยการทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจซึ่งกระทำในสถานประกอบกิจการหรือสถานที่ทำงานของผู้ประกอบกิจการ และเครื่องมือที่สำคัญสำหรับใช้ทำงานนั้นผู้ประกอบกิจการเป็นผู้จัดหากรณีเช่นว่านี้ผู้ประกอบกิจการย่อมอยู่ในฐานะนายจ้างซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

ในกรณีที่ผู้รับเหมาค่าแรงตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้ยื่นแบบรายการต่อสำนักงานตามมาตรา 34 ในฐานะนายจ้าง ให้ผู้รับเหมาค่าแรงมีหน้าที่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้เช่นเดียวกับนายจ้าง ในกรณีเช่นว่านี้ให้ผู้ประกอบกิจการหลุดพ้นจากความรับผิดชอบในหนี้เงินสมทบและเงินเพิ่มเพียงเท่าที่ผู้รับเหมาค่าแรงได้นำส่งสำนักงาน” บทมาตรานี้หมายความว่าผู้รับเหมาค่าแรงต้องเป็นผู้จัดหาลูกจ้างให้แก่ผู้ประกอบกิจการ หรือผู้รับเหมาค่าแรงนำงานอันเป็นธุรกิจหรือกระบวนการผลิตของผู้ประกอบกิจการมาให้ลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรงทำ โดยผู้รับเหมาค่าแรงเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำงานและจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรงซึ่งเข้าไปทำงานในสถานประกอบกิจการหรือสถานที่ทำงานและใช้เครื่องมือที่สำคัญในการทำงานของผู้ประกอบกิจการ จึงจะถือว่าผู้ประกอบกิจการอยู่ในฐานะนายจ้างของลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรงและมีหน้าที่ต้องยื่นแบบรายการตามมาตรา 34 และจ่ายเงินสมทบสำหรับลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรงต่อสำนักงานประกันสังคม หากผู้รับเหมาค่าแรงได้จ่ายเงินสมทบสำหรับลูกจ้างของตนต่อสำนักงานประกันสังคมแล้ว ให้ผู้ประกอบกิจการหลุดพ้นความรับผิดเท่าจำนวนที่ผู้รับเหมาค่าแรงได้จ่ายแก่สำนักงานประกันสังคม ฉะนั้น คนงานที่มาทำงานให้แก่ผู้ประกอบกิจการจะต้องเป็นลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรง ตามบทบัญญัติมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการได้ว่าจ้างโดยวิธีเหมาค่าแรงมอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดรับช่วงไปควบคุมดูแลการทำงานและรับผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างอีกทอดหนึ่ง และมาตรา 35 วรรคสองที่บัญญัติว่า… ในกรณีเช่นว่านี้ให้ผู้ประกอบกิจการหลุดพ้นจากความรับผิดชอบในหนี้เงินสมทบและเงินเพิ่มเพียงเท่าที่ผู้รับเหมาค่าแรงได้นำส่งสำนักงาน หมายความว่า ผู้รับเหมาค่าแรงต้องเป็นนายจ้างของคนงานผู้รับเหมาค่าแรงจึงจะมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบให้สำนักงานประกันสังคมตามมาตรา 35 วรรคสอง อันจะทำให้ผู้ประกอบกิจการหลุดพ้นจากความรับผิดในเงินสมทบและเงินเพิ่มเพียงเท่าที่ผู้รับเหมาค่าแรงได้นำส่งสำนักงานประกันสังคม ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อโจทก์จะต้องขนข้างลงเรือให้แก่ผู้ซื้อจากต่างประเทศ โจทก์จะว่าจ้างนายสุวัฒน์ วรรณศิริกุล จีนเต็งใหญ่เป็นผู้รับเหมา ค่าแรงทำการขนข้าวลงเรือ นายสุวัฒน์จะแจ้งให้นายทรัพย์จีนเต็งหัวหน้าสายไปจัดหากรรมกรตามจำนวนพอเหมาะกับปริมาณข้าวที่จะขนถ่ายลงเรือมาแบกขน ก่อนขนข้าวลงเรือกรรมกรจะต้องผสมข้าวด้วยเครื่องจักรภายในโกดังของโจทก์ และบรรจุใส่กระสอบผ่านสายพานและให้กรรมกรรอแบบกระสอบข้าวจากปลายสายพานไปลงเรือ การทำงานดังกล่าวทั้งหมดของกรรมกรอยู่ภายใต้การควบคุมและสั่งการของนายสุวัฒน์ นายสุวัฒน์จึงมีอำนาจบังคับบัญชาเหนือกรรมกรทุกคน ประกอบกับนายสุวัฒน์เพียงผู้เดียวเป็นคนจ่ายค่าจ้างให้แก่กรรมกรที่มาแบกข้าวแต่ละวัน นิติสัมพันธ์ระหว่างนายสุวัฒน์กับกรรมกรดังกล่าวเข้าลักษณะจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 575 นายสุวัฒน์จึงเป็นนายจ้างของกรรมกรทั้งหมด เมื่อปรากฏว่านายสุวัฒน์ควบคุมกรรมกรให้ทำงานในโกดังอันเป็นสถานประกอบกิจการของโจทก์และใช้เครื่องมือที่สำคัญสำหรับใช้ทำงานที่โจทก์เป็นผู้จัดทำ โดยการทำงานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจของโจทก์ ดังนี้ โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะนายจ้างของกรรมกรทั้งหมดด้วยตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 35 วรรคหนึ่ง ทำให้โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ทุกประการ เมื่อขณะเกิดเหตุโจทก์มีลูกจ้างเกิน 10 คนโจทก์จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนายจ้าง (ตามแบบสปส. 6-15) กรณีเปลี่ยนวันที่มีหน้าที่ชำระเงินสมทบตั้งแต่เดือนมกราคม 2541ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2542 ตามหนังสือของกองตรวจสอบ สำนักงานประกันสังคมที่ รส 0705/1613 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2543 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 1063/2543 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2543 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาเพิกถอนหนังสือของกองตรวจสอบสำนักงานประกันสังคม และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ดังกล่าว ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share