คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6252/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกระชากกระเป๋าถือแบบสะพายที่ผู้เสียหายสะพาย อยู่จนสายสะพาย หลุดจากไหล่ แต่ผู้เสียหายแย่งกระเป๋ากลับคืนมาได้ในทันทีทันใด กระเป๋ายังไม่หลุดไปจากความครอบครองของผู้เสียหายแม้กระเป๋าจะอยู่ที่มือของจำเลยตอนกระชากก็เป็นการกระทำในขั้นมุ่งหมายจะให้กระเป๋าหลุดจากไหล่ผู้เสียหายเท่านั้น จำเลยยังมิได้ยึดถือกระเป๋าของผู้เสียหายไว้ในความครอบครองของตน การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดขั้นพยายามวิ่งราวทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ลงโทษจำคุก 4 ปี ลดโทษหนึ่งในสามคงจำคุก 2 ปี 8 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336, 80 จำคุก 1 ปี ลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์สำเร็จหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนางแสงเทียนเคหะเจริญ ผู้เสียหายว่าจำเลยได้กระชากกระเป๋าถือแบบสะพายซึ่งผู้เสียหายสะพาย อยู่จนสายสะพายหลุดจากไหล่ แต่ผู้เสียหายแย่งกระเป๋าถือกลับคืนมาจากจำเลยได้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระชากกระเป๋าจนหลุดไปจากความครอบครองของผู้เสียหายแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยกระชากกระเป๋าถือที่ผู้เสียหายสะพายอยู่จนสายสะพายหลุดจากไหล่ แต่ผู้เสียหายก็ได้แย่งกระเป๋ากลับคืนมาในทันทีทันใดจำเลยจึงเอากระเป๋าไม่ได้ แม้กระเป๋าจะอยู่ที่มือของจำเลยตอนกระชากก็เป็นการกระทำในขั้นมุ่งหมายจะให้กระเป๋าหลุดจากไหล่ผู้เสียหายเท่านั้น จำเลยยังมิได้ยึดถือกระเป๋าของผู้เสียหายไว้ในความครอบครองของตน การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์เท่านั้น”
พิพากษายืน

Share