คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความที่ลงพิมพ์โฆษณามีหัวข้อข่าวว่า “โรงแรมพ่นพิษใส่บีโอไอถ่วงวางเงินค้ำประกัน”และมีเนื้อข่าวว่า”กลุ่มแอมเทลของนายชวลิตทั่งสัมพันธ์ (คือโจทก์ที่ 2) ใช้วิธีหน่วงจ่ายโรงแรมที่อนุมัติรุ่นเดียวกับโรงแรมเอราวัณมีอีก 3 แห่ง แต่เป็นเจ้าของเดียวกันคือ นายชวลิตทั่งสัมพันธ์ เจ้าของเครือโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซึ่งครบกำหนดวางเงินค้ำประกันเช่นกันแต่ไม่มีการวางเงิน เพราะก่อนหน้านี้ บีโอไอ แจ้งมติส่งเสริมการลงทุนพร้อมเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ไปให้กำหนดให้ตอบรับหรือไม่รับมติใน1 เดือน แต่ช่วงนั้นนายชวลิตทำเรื่องมายังบีโอไอ ขอเพิ่มสิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้ตามช่องของกฎระเบียบ บีโอไอ ที่เปิดไว้กรณีผู้รับส่งเสริมไม่พอใจสิทธิประโยชน์ สามารถเสนอขอแก้ไขส่วนจะได้หรือไม่อยู่ที่ บีโอไอตัดสินดังนั้นบีโอไอจึงเตรียมออกหนังสือแจ้งให้นายชวลิตทราบมติ ถ้ารับได้ต้องวางเงินประกันใน 60 วัน คราวนี้ไม่มาอีกจะตัดสิทธิทันที “ข้อความดังกล่าวเมื่ออ่านโดยตลอดแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์ทั้งสองมีฐานะทางการเงินไม่น่าไว้วางใจ ปราศจากความน่าเชื่อถือ โจทก์ที่ 2เป็นผู้ที่ใช้วิธีการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ในขณะที่ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนรายอื่นได้ปฏิบัติแล้ว เป็นประการที่น่าจะทำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จากประชาชนโดยทั่วไป ทั้งมิใช่เป็นการเขียนข่าวหรือแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตใจด้วยความเป็นธรรม เมื่อจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ก็ไม่ต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 326 อีก

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, 332, 83, 50 และพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484มาตรา 48
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 พระราชบัญญัติการพิมพ์ฯ มาตรา 48 ลงโทษจำคุก3 เดือน และปรับ 2,000 บาท จำเลยที่ 2 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ในกรณีจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้จำเลยที่ 2 โฆษณาคำพิพากษาคดีนี้ทั้งหมดลงในหนังสือพิมพ์รายวันหนึ่งฉบับ จำนวน 3 ครั้งโดยให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระค่าโฆษณา ส่วนฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 กับคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้มีข้อความตามฟ้องอันไม่เป็นความจริงลงตีพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา เห็นว่า ข้อความที่ลงพิมพ์โฆษณาดังกล่าวมีหัวข้อข่าวว่า “โรงแรมพ่นพิษใส่ บี โอ ไอ ถ่วงวางเงินค้ำประกัน” และมีเนื้อข่าวว่า “กลุ่มแอมเทลของนายชวลิตทั่งสัมพันธ์ ใช้วิธีหน่วงจ่าย โรงแรมที่อนุมัติรุ่นเดียวกับโรงแรมเอราวัณมีอีก 3 แห่ง แต่เป็นเจ้าของเดียวกันคือนายชวลิต ทั่งสัมพันธ์ เจ้าของเครือโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ซึ่งครบกำหนดวางเงินค้ำประกันเช่นกันแต่ไม่มีการวางเงิน เพราะก่อนหน้านี้ บี โอ ไอ แจ้งมติส่งเสริมการลงทุนพร้อมเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ไปให้ กำหนดให้ตอบรับหรือไม่รับมติใน 1 เดือนแต่ช่วงนั้นนายชวลิตทำเรื่องมายัง บี โอ ไอ ขอเพิ่มสิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้ตามช่องของกฎระเบียบ บี โอ ไอ ที่เปิดไว้กรณีผู้รับส่งเสริมไม่พอใจสิทธิประโยชน์ สามารถเสนอขอแก้ไขส่วนจะได้หรือไม่อยู่ที่ บี โอ ไอ ตัดสิน ดังนั้น บี โอ ไอจึงเตรียมออกหนังสือแจ้งให้นายชวลิตทราบมติ ถ้ารับได้ต้องวางเงินประกันใน 60 วัน คราวนี้ไม่มาอีกจะตัดสิทธิทันที” ข้อความดังกล่าวเมื่ออ่านโดยตลอดแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์ทั้งสองมีฐานะทางการเงินไม่น่าไว้วางใจ ปราศจากความน่าเชื่อถือ โจทก์ที่ 2เป็นผู้ที่ใช้วิธีการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ในขณะที่ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนรายอื่นได้ปฏิบัติแล้ว เป็นประการที่น่าจะทำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จากประชาชนโดยทั่วไป ทั้งมิใช่เป็นการเขียนข่าวหรือแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตใจด้วยความเป็นธรรมแต่ประการใด การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการใส่ความโจทก์ทั้งสองโดยการโฆษณาด้วยเอกสารตามฟ้อง แต่ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 มาด้วยนั้น ยังไม่ถูกต้องเพราะในความผิดฐานหมิ่นประมาทเมื่อจำเลยที่ 2 ผิดตามมาตรา 328แล้ว ก็ไม่จำต้องยกมาตรา 326 ขึ้นปรับบทลงโทษอีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทลงโทษประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share