แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่บุตรตายลงทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบิดาต้องขาดไร้อุปการะโจทก์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะโดยไม่ต้องพิจารณาว่าโจทก์มีฐานะดีหรือไม่
โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดภายใน 1 ปีแล้วอายุความย่อมสะดุดหยุดอยู่จนกว่าคดีจะได้วินิจฉัยถึงที่สุดหรือเสร็จไปโดยประการอื่น แม้โจทก์จะยื่นฟ้องเพิ่มเติมเมื่อพ้น 1 ปีนับแต่วันละเมิด แต่ก่อนวันศาลชี้สองสถาน และเป็นฟ้องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ย่อมทำได้ฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์ไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายอำนาจ เด็กชายชำนาญ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๐๗ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ตามทางการที่จ้าง และตามคำสั่งของจำเลยที่ ๒ที่ ๓ บรรทุกแกลบ ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ถอยหลังรถลงที่ลาดชันด้วยความเร็วล้อหลังชนปลายเสาที่กองอยู่ริมทาง ปลายเสาเหวี่ยงไปโดนเด็กชายอำนาจ เด็กชายชำนาญ ถึงแก่ความตาย เด็กชายวันชัยได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ค่าทำบุญค่าใช้จ่ายในการทำศพและค่าทำขวัญ รวม ๗๔,๒๕๘ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จและให้ใช้ค่าทดแทนเพราะเหตุขาดไร้อุปการะเป็นเงินอย่างน้อย ๔๐,๐๐๐บาทให้โจทก์ด้วย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ที่ ๓ มีหน้าที่เป็นเด็กท้ายรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ล.บ. ๐๐๘๔๖ ซึ่งมีนายถนอมเป็นคนขับ วันเกิดเหตุนายไพกรรมการวัดท่าโขลงขอให้จำเลยที่ ๑นำรถยนต์ไปบรรทุกแกลบ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ด้วยความระมัดระวังเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เป็นความผิดของบุตรโจทก์ที่มายืนใกล้เสาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ไม่จำต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ค่าใช้จ่ายในการทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วัน โจทก์เรียกสูงเกินไป ค่าเสียหายเกี่ยวกับโจทก์เป็นโรคประสาทเนื่องจากการตายของบุตร มิได้บรรยายว่าเป็นค่ารักษาหรือค่าอะไร เป็นฟ้องเคลือบคลุม ค่าเสียหายในเหตุที่โจทก์ต้องสูญเสียบุตรและเรียกค่าทำขวัญ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกได้ตามกฎหมายโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่าฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์ ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์โดยประมาท ต้องรับผิดชอบใช้ค่าทำบุญ ค่าทำศพ รวม ๒๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าเสียหายเกี่ยวกับโจทก์เป็นโรคประสาท ไม่มีกฎหมายสนับสนุนเรียกไม่ได้ ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูนั้นฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์ขาดอายุความ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ในทางการที่จ้าง จึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ ๑ กระทำไม่ได้ความว่าจำเลยที่ ๓ ได้เกี่ยวข้องกับรถยนต์รายนี้ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิด พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันพิพากษาจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒-๓และขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไปเกิดเหตุคดีนี้ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์เกี่ยวกับค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูไม่ขาดอายุความ จึงกำหนดให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ในข้อนี้เป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทำศพเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐บาทชอบด้วยรูปคดีแล้ว พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสามรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ให้จำเลยทั้งสามเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้าง เมื่อจำเลยที่ ๑เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ในผลที่จำเลยที่ ๑ ทำละเมิด
ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ข้อ ๓ นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ทำละเมิดเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๐๗ โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๐๘ ฟังได้ว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ทำละเมิด เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ยังศาลแล้วอายุความย่อมสะดุดหยุดอยู่จนกว่าจะได้วินิจฉัยถึงที่สุดหรือเสร็จไปโดยประการอื่น ฉะนั้น แม้โจทก์จะยื่นฟ้องเพิ่มเติมเรียกค่าขาดไร้อุปการะเมื่อวันที่๑๔ พฤษภาคม ๒๕๐๙ ก็ตาม ฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์ซึ่งได้ยื่นก่อนวันศาลทำการชี้สองสถาน ก็เป็นฟ้องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์ชอบที่จะเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมได้ ฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์ไม่ขาดอายุความ
ส่วนโจทก์จะมีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือไม่นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๓ วรรค ๓ บัญญัติว่า “ถ้าว่าเหตุที่ตามลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” และมาตรา ๑๕๓๕บัญญัติว่า “บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา” กฎหมายมีดังนี้ จึงถือได้ว่าการที่เด็กชายอำนาจเด็กชายชำนาญตายลง ทำให้โจทก์ผู้เป็นบิดาต้องขาดไร้อุปการะจากผู้ตายตามกฎหมาย ทั้งนี้ โดยมิต้องพิจารณาว่าโจทก์มีฐานะดีหรือไม่ โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย
พิพากษายืน ยกฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับไปทั้งสองฝ่าย