แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายอายุ 15 ปีเศษ ไปอยู่กับญาติซึ่งบ้านอยู่ใกล้กันไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้เสียหายทะเลาะกับมารดา หรือมารดานำไปฝากก็ไม่ถือว่าพ้นจากอำนาจปกครองของมารดา การที่ญาติของผู้เสียหายอนุญาตให้ผู้เสียหายไปเอาหม้อยากับจำเลย แล้วจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจยินยอมก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจากมารดาผู้เสียหาย และทำให้กระทบกระเทือนต่ออำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้พรากนางสาวสุราวรรณ ผู้เยาว์อายุ15 ปีเศษไปเสียจากนางแหวนมารดา เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจด้วย และจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสุราวรรณขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276, 318 วรรคสามจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก จำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งจำคุก 2 ปี เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า นางสาวสุราวรรณ แซ่เลี้ยวผู้เสียหายอายุ 15 ปีเศษ อยู่กับนางแหวนมารดา ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2-3 เดือน ผู้เสียหายออกจากบ้านมารดาไปอยู่กับนางสมจิตร หอมจันทร์ ซึ่งเป็นลูกผู้พี่ บ้านอยู่ห่างกันประมาณ1 ป้ายรถเมล์ บ้านจำเลยอยู่หลังบ้านนางสมจิตร จำเลยกับผู้เสียหายเป็นเพื่อนกันเคยไปมาหาสู่กัน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2530เวลา ประมาณ 20 นาฬิกา นางสมจิตร ใช้ให้จำเลยและผู้เสียหายไปเอาหม้อยาที่บ้านหมอปลิว โดยผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของจำเลย เวลา 21 นาฬิกา ก็พากันกลับ ระหว่างทางกลับมาตามถนนหทัยราษฎร์ เข้าไปตามถนนลูกรังห่างถนนหทัยราษฎร์ประมาณ100 เมตร นั่งคุยกัน แล้วต่อมาจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยความสมัครใจของผู้เสียหาย ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315 วรรคแรกหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายมีอายุเพียง 15 ปีเศษ การที่ผู้เสียหายไปอยู่กับนางสมจิตรซึ่งเป็นญาติและบ้านห่างกันเพียง 1 ป้ายรถเมล์ ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้เสียหายทะเลาะกับมารดาหรือมารดานำมาฝากให้อยู่กับนางสมจิตรก็ไม่ถือว่าพ้นจากอำนาจปกครองของมารดา ทั้งการที่ผู้เสียหายเป็นผู้หาเงินเลี้ยงครอบครัว ก็ไม่ทำให้อำนาจปกครองของมารดาที่มีอยู่หมดไปแต่อย่างใด ในคืนเกิดเหตุนางสมจิตรให้ผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของจำเลยไปเอาหม้อยา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการยินยอมอนุญาตให้พาไป แต่ถือไม่ได้ว่ายินยอมให้จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายด้วย การกระทำของจำเลยต่อผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายยังอยู่ในอำนาจปกครองของมารดา จะต้องได้รับความยินยอมจากมารดาเสียก่อน มิฉะนั้นย่อมถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการล่วงอำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยต่อผู้เสียหายแม้ผู้เสียหายจะสมัครใจยินยอม ก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจากมารดาผู้เสียหายและทำให้กระทบกระเทือนต่ออำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรกฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ที่มารดาผู้เสียหายให้ผู้เสียหายไปอยู่กับนางสมจิตร และนางสมจิตรให้ผู้เสียหายไปกับจำเลยตามลำพังในเวลากลางคืน จึงเกิดเหตุขึ้นเมื่อเกิดเหตุแล้ว มารดาผู้เสียหายเรียกค่าเสียหาย 20,000 บาทแต่มารดาจำเลยเห็นว่าผู้เสียหายไปอยู่กับนายเตี้ยแล้วจึงรับจะให้เพียง 4,000 บาท มารดาผู้เสียหายไม่ยอม จึงได้มีการแจ้งความดำเนินคดี ต่อมาผู้เสียหายได้แต่งงานกับนายเตี้ยเมื่อวันที่5 กรกฎาคม 2530 ประกอบกับจำเลยได้ช่วยมารดาประกอบอาชีพ และถูกควบคุมตัวมาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว คงจะได้สำนึกในการกระทำผิดของตน ทั้งจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นคนดี แต่เห็นควรลงโทษปรับจำเลยด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกอบรมยังสถานพินิจ และเมื่อลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ให้ปรับจำเลย 3,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์