คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5701/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป วันเกิดเหตุจำเลยเข้ามานั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ดังกล่าวซึ่งจอดอยู่แล้วไขกุญแจรถ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจแสดงตัวจำเลยทิ้งรถวิ่งหนี แสดงว่าจำเลยรู้ว่ารถจักรยานยนต์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ การที่จำเลยนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์แล้วไขกุญแจรถ เป็นการเข้ายึดถือครอบครองรถจักรยานยนต์ เมื่อจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ดังกล่าวไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยย่อมมีความผิดฐานรับของโจร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๓๕๗, ๓๓ ริบกุญแจปลอม ๑ ดอกของกลาง และนับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ ๗๔๗/๒๕๒๗ ของศาลอาญาธนบุรี
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ริบกุญแจปลอมของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ ให้จำคุกจำเลย ๒ ปี ริบกุญแจของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๒๘ มีคนร้ายลักเอารถจักรยานยนต์ของกลางไป ปัญหาในชั้นนี้มีว่า จำเลยรับของโจรรถจักรยานยนต์ของกลางดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมาหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจโทบรรจง วรรณดิษฐ์ มาเบิกความว่า เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๒๘ เวลา ๗.๔๕ นาฬิกา ขณะพยานกับพวกซุ่มดักจับคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของกลางอยู่ใกล้กับรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งจอดอยู่ที่บริเวณ เมรุวัดบางบำหรุนั้น จำเลยกับพวกอีก ๒ คน ก็พากันนั่งรถจักรยานยนต์คนหนึ่งเข้ามา จำเลยเดินตรงมานั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ของกลางแล้วไขกุญแจรถ เมื่อพยานแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจำเลยทิ้งรถวิ่งหนีไปทางหน้าวัด พยานกับพวกวิ่งไล่จับจำเลยได้ในขณะนั้น ทั้งได้ทำบันทึกการจับกุมหมาย จ.๗ ไว้ด้วย บันทึกการจับกุมดังกล่าวระบุเหตุการณ์ตรงกับที่พันตำรวจโทบรรจงได้เบิกความไว้ จำเลยลงชื่อไว้ในบันทึกการจับกุมด้วย คำเบิกความของพันตำรวจโทบรรจงดังกล่าวจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อระแวงสงสัยใด ๆ การที่จำเลยทิ้งรถจักรยานยนต์ของกลางแล้ววิ่งหนีเมื่อพันตำรวจโทบรรจงแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจนั้น แสดงว่าจำเลยรู้ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ เพราะหากจำเลยไม่รู้เช่นนั้น จำเลยก็ไม่มีเหตุที่จะต้องวิ่งหนีแต่ประการใด การที่จำเลยนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ของกลางแล้วไขกุญแจรถนั้นเป็นการเข้ายึดถือครอบครองรถจักรยานยนต์ของกลาง และชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์แล้ว ข้อนำสืบของจำเลยไม่น่าเชื่อถือ ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนก็ปรากฏว่าจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหารับของโจรรถจักรยานยนต์ของกลาง คดีฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรรถจักรยานยนต์ของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหานี้ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ โดยไม่ระบุวรรคนั้นไม่ชัดเจน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขในเรื่องนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share