แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองนั้น เป็นการได้มาโดยความยินยอมในกรณีหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 และมาตรา 1566(6)อันเป็นการได้อำนาจปกครองมาโดยข้อสัญญาโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองของจำเลย โดยอ้างว่าจำเลยปล่อยปละละเลยไม่ทำหน้าที่ของผู้ใช้อำนาจปกครอง จึงเป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาหรือ ข้อตกลงในการจดทะเบียนหย่า ดังนั้นสถานที่ที่ได้มีการ จดทะเบียนหย่าและทำบันทึกข้อตกลงในเรื่องการใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองของจำเลย จึงถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่ มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล เมื่อโจทก์และจำเลยได้จดทะเบียนการหย่าและทำบันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนการหย่าที่สำนักงานเขตดุสิตกรุงเทพมหานคร จึงต้องถือว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยตกลงหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันโดยให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองอยู่ในอำนาจปกครองของจำเลย ค่าเลี้ยงดูและค่าการศึกษาของบุตรทั้งสองจำเลยเป็นผู้ออกทั้งสิ้นหลังจากหย่ากันแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงโดยปล่อยปละละเลยไม่เลี้ยงดูบุตรทั้งสองปล่อยให้โจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาบุตรทั้งสองซึ่งต้องสิ้นค่าใช้จ่ายเดือนละประมาณ5,000 บาท ทั้งบุตรผู้เยาว์ทั้งสองต้องการอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ ปัจจุบันบุตรผู้เยาว์ทั้งสองพักอาศัยอยู่กับโจทก์ประกอบกับโจทก์มิได้สมรสใหม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองดีกว่าจำเลยขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองของจำเลย โดยให้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองอยู่กับโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยหย่ากันที่สำนักงานเขตดุสิตกรุงเทพมหานคร มูลคดีจึงเกิดที่กรุงเทพมหานคร ทั้งจำเลยก็มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี โจทก์จึงเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดสระบุรีไม่ได้ จำเลยมิได้ประพฤติตนไม่สมควรเพราะหลังหย่ากันแล้วโจทก์ขับไล่จำเลยออกจากบ้านที่กรุงเทพมหานครจำเลยไม่มีบ้านเป็นของตนเองจึงไม่ได้นำบุตรทั้งสองไปด้วยได้แต่ฝากให้ตากับยายของผู้เยาว์ดูแลให้ จำเลยส่งเสียค่าอุปการะบุตรเป็นประจำทุกเดือน โดยจ่ายให้แก่ตาและยายของผู้เยาว์เดือนละไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท โจทก์ทำงานที่ต่างจังหวัดไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูบุตรเลย บุตรทั้งสองคนไม่ประสงค์จะอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ ทั้งโจทก์มีสามีใหม่แล้ว จึงไม่สมควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนอำนาจปกครองเด็กชายพิชิต ฉัตรเนตรและเด็กหญิงชุติมา ฉัตรเนตร ของจำเลยทั้งหมด แล้วให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองคน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาข้อแรกต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดสระบุรีได้หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1)บัญญัติว่า คำฟ้องให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ระบุว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 51 หมู่ 4 ตำบลบ้านกลางอำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งอยู่ในเขตศาลจังหวัดปทุมธานี โจทก์มิได้ฟ้องคดีต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า ศาลจังหวัดสระบุรีเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองนั้น เป็นการได้มาโดยความยินยอมในกรณีหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 และมาตรา 1566(6) อันเป็นการได้อำนาจปกครองมาโดยข้อสัญญา การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองของจำเลยโดยอ้างเหตุแห่งการฟ้องร้องว่าจำเลยปล่อยปละละเลยไม่ทำหน้าที่ของผู้ใช้อำนาจปกครอง จึงเป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาหรือข้อตกลงในการจดทะเบียนหย่าดังนั้น สถานที่ที่ได้มีการจดทะเบียนหย่าและทำบันทึกข้อตกลงในเรื่องการใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองของจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล เมื่อได้ความว่าโจทก์และจำเลยได้จดทะเบียนการหย่าและทำบันทึกข้อตกลงหลังจดทะเบียนการหย่าที่สำนักงานเขตดุสิต กรุงเทพมหานครจึงต้องถือว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ศาลจังหวัดสระบุรีจึงหาใช่ศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงไม่อาจนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสระบุรีได้ คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดสระบุรีอันเป็นศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน