คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยที่โต้แย้งว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสอง เพียงแต่อ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ขึ้นมาโต้แย้งว่าการได้มาซึ่งพยานหลักฐานในส่วนดังกล่าวมิชอบ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง หาได้เป็นข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาเพื่อเอาชนะคดีโดยชัดแจ้งไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีเพียง 95,476.24 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาห้วยขวาง จำนวน 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน 90,000 บาท มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คทั้งสามฉบับถึงกำหนด โจทก์ได้นำไปเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารเพื่อให้ธนาคารเรียกเก็บเงินแทน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสามฉบับ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 95,476.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 90,000 บาท นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2539 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน เมื่อถึงวันนัด จำเลยขอเลื่อนการพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยเป็นการประวิงคดีจึงมีคำสั่งไม่อนุญาต และให้ยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ค่าคำร้องเป็นพับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนการพิจารณา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดี แล้วมีคำสั่งและคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลย เมื่อถึงวันนัด จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณา ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตและมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 30,000 บาท นับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2538 ของต้นเงินจำนวน 30,000 บาท นับแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2538 และของต้นเงินจำนวน 30,000 บาท นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมแล้วต้องไม่เกิน 5,476.24 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของจำเลยข้อ 3.2 ที่ว่าเมื่อศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดีแล้วมีคำสั่งและคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ชอบที่ศาลชั้นต้นจะทำการสืบพยานใหม่ การที่นายไพบูลย์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และในฐานะทนายโจทก์เพียงแต่เข้าเบิกความว่า โจทก์ขอถือเอาคำเบิกความของตัวโจทก์และของพยานบุคคลอื่นๆ ที่ได้เคยเบิกความไว้ในชั้นพิจารณาก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นพยานหลักฐาน แล้วศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำเบิกความของตัวโจทก์และของพยานบุคคลอื่นๆ ของโจทก์ซึ่งเคยเบิกความไว้แล้วดังกล่าวถือเป็นพยานเอกสารที่แสดงว่าตัวโจทก์และพยานบุคคลอื่นๆ ได้เคยบอกเล่าไว้อย่างไรต่อศาล เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี ก็ไม่ต้องห้ามที่ศาลจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งเพื่อพิเคราะห์ประกอบพยานเอกสารอื่นของโจทก์ที่อ้างส่ง เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ทั้งคำเบิกความของนายไพบูลย์ในครั้งหลังนี้เป็นเพียงพยานบอกเล่าเท่ากับได้รับฟังคำพยานบุคคลปากอื่นของโจทก์มาก่อน ชอบที่ศาลจะไม่รับฟังพยานปากนายไพบูลย์จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าจำเลยต้องรับผิดตามที่โจทก์ฟ้องนั้น เห็นว่า เนื้อหาในฎีกาข้อนี้มีลักษณะเป็นการโต้แย้งว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ อันเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองเพียงแต่อ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ขึ้นมาโต้แย้งว่าการได้มาซึ่งพยานหลักฐานในส่วนดังกล่าวมิชอบ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง หาได้เป็นข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาเพื่อเอาชนะคดีโดยชัดแจ้งไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีเพียง 95,476.24 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share