คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6228/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลมีอำนาจที่วินิจฉัยว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์หรือไม่โดยไม่จำต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์และไม่จำเป็นที่ผู้มอบอำนาจต้องลงลายมือชื่อในวันที่ลงในหนังสือมอบอำนาจอาจมีการลงลายมือชื่อไว้ก่อนได้และแม้ขณะลงลายมือชื่อดังกล่าวจะมิได้กรอกข้อความให้ครบถ้วนแต่เมื่อได้กรอกข้อความให้ครบถ้วนก่อนฟ้องคดีตรงตามความประสงค์ของผู้มอบอำนาจแล้วย่อมเป็นหนังสือมอบอำนาจที่ใช้ได้ โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินและอาคารจากจำเลยเพื่อดำเนินกิจการโรงแรมแต่จำเลยไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบถึงคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้จำเลยระงับการก่อสร้างและรื้อถอนส่วนที่ผิดแบบออกไปทำให้โจทก์สำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์อันเป็นสาระสำคัญเป็นเหตุให้สัญญาจะซื้อขายเป็นโมฆียะโจทก์ขึงมีสิทธิบอกล้างได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน49,350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 46,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2531จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2531 จำเลยที่ 1 ได้ตกลงกับนายกาญจน์ฐพงศ์ ดุลยธรรมภักดีว่า จำเลยที่ 1 จะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 11616 ถึง 11622, 11644 ถึง 11649, 11219 และ 1028ตำบลถนนเพชรบุรี (ประแจจีน) อำเภอพญาไท (ดุสิต) กรุงเทพมหานครพร้อมอาคาร รวมทั้งโทรศัพท์ 3 หมายเลขให้นายกาญจน์ฐพงศ์หรือโจทก์ นายกาญจน์ฐพงศ์ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัดสาขาเอกมัย จำนวนเงิน 1,000,000 บาท ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9 ต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2531 โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารและโทรศัพท์ตามเอกสารหมาย จ.7 หรือ จ.11 และโจทก์ให้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาเยาวราช จำนวนเงิน44,000,000 บาท มอบให้จำเลยที่ 1 ต่อมาโจทก์ได้ขอให้ธนาคารงดการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ทำการก่อสร้างอาคารพิพาทตามเอกสารหมาย จ.10 หรือ ล.3แต่ได้ทำการก่อสร้างผิดจากแบบ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้แก้ไขการก่อสร้างให้ถูกต้องและระงับการก่อสร้างทันทีจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกมีว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายชัชวาล วังศิริไพศาล ฟ้องคดีหรือไม่โจทก์มีนายชัชวาลผู้รับมอบอำนาจเบิกความว่า โจทก์ได้มอบอำนาจในพยานฟ้องคดีตามเอกสารหมาย ล.1 และนายพิชิต ผลวิเศษชัยกุลซึ่งเป็นพยานในเอกสารหมาย ล.1 เบิกความรับรองว่าได้มีการมอบอำนาจกันจริง แม้ตัวโจทก์ผู้มอบอำนาจจะมิได้มาเบิกความรับรองหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว คงมีเพียงผู้รับมอบอำนาจกับพยานที่ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจมาเบิกความรับรอง ทั้งมีลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์ที่ปรากฎในสำนวนเช่นนี้ ศาลย่อมมีอำนาจที่จะตรวจดูลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจเปรียบเทียบกับลายมือชื่ออันแท้จริงของโจทก์ผู้มอบอำนาจที่ปรากฎในสำนวนได้ เมื่อพิจารณาคำเบิกความประกอบกับการเปรียบเทียบลายมือชื่อดังกล่าวแล้ว ศาลก็มีอำนาจที่วินิจฉัยได้ว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์หรือไม่ โดยไม่จำต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์แต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยอ้างว่าลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในเอกสารหมาย ล.1 ไม่ใช่ลายมือชื่ออันแท้จริงของโจทก์ เพราะวันที่20 ตุลาคม 2532 ที่ลงในหนังสือมอบอำนาจตัวโจทก์อยู่ต่างประเทศตามเอกสารหมาย ล.20 นั้น เห็นว่า แม้จะเป็นจริงเช่นนั้นแต่การมอบอำนาจไม่จำเป็นที่ผู้มอบอำนาจจะต้องลงลายมือชื่อในวันที่ลงในหนังสือมอบอำนาจ อาจมีการลงลายมือชื่อไว้ก่อนได้ และแม้ขณะลงลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจจะมิได้กรอกข้อความให้ครบถ้วนแต่เมื่อได้กรอกข้อความให้ครบถ้วนก่อนฟ้องคดี โดยกรอกตรงตามความประสงค์ของผู้มอบอำนาจแล้วย่อมเป็นหนังสือมอบอำนาจที่ใช้ได้พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายชัชวาลฟ้องคดี
ฎีกาประการต่อไปมีว่า สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆียะหรือไม่โจทก์อ้างว่าเป็นโมฆียะ เพราะโจทก์ซื้อที่ดินและอาคารเพื่อดำเนินกิจการโรงแรม แต่จำเลยปกปิดมิได้บอกให้โจทก์ทราบว่าอาคารสร้างไม่ถูกแบบจนเจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้รื้อ ทำให้โจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของอาคารโดยโจทก์มีนายกาญจน์ฐพงศ์เบิกความว่า ในวันวางมัดจำ พยานสอบถามจำเลยที่ 2 ถึงเหตุที่ก่อสร้างอาคารไม่เสร็จ จำเลยที่ 2 บอกว่าคนงานหยุดงานและสุขภาพของจำเลยที่ 2 ไม่ดี จำเลยที่ 2 ไม่ได้บอกว่าเจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้แก้ไข และจำเลยที่ 2 ได้มอบสำเนาหนังสืออนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารให้พยานปรากฎตามเอกสารหมาย จ.10 ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยที่ 2 เบิกความว่า ได้บอกแก่นายกาญจน์ฐพงศ์ว่ามีการก่อสร้างอาคารผิดเงื่อนไขบางส่วนและได้มอบสำเนาหนังสืออนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารซึ่งมีข้อความเหมือนเอกสารหมาย ล.3ไม่ได้มอบเอกสารหมาย จ.10 ให้นายกาญจน์ฐพงศ์ ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ที่ว่าจำเลยไม่ได้บอกเรื่องก่อสร้างอาคารผิดแบบจนถูกเจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้รื้อถอน และเอกสารหมาย จ.10 ไม่มีบันทึกเรื่องการให้รื้อถอนอาคารพิพาทฝ่ายจำเลยมีพยานเบิกความว่าได้บอกให้นายกาญจน์ฐพงศ์ผู้แทนโจทก์ทราบเรื่องการรื้อถอนอาคารพิพาทแล้ว ทั้งได้มอบเอกสารที่มีข้อความอย่างเอกสารหมาย ล.3ให้นายกาญจน์ฐพงศ์ไปด้วย สำหรับเอกสารที่ต่างฝ่ายต่างอ้างมานั้นคือหนังสืออนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารของโจทก์เอกสารหมายจ.10 ของจำเลยเอกสารหมาย ล.3 ในเอกสารทั้งสองฉบับมีข้อความตรงกันหมด ยกเว้นแต่ที่เป็นลายมือเขียนที่บันทึกไว้ด้านล่างในเอกสารหมาย จ.10 ที่โจทก์อ้างมานั้นไม่ได้บันทึกไว้เลยส่วนในเอกสารหมาย ล.3 ที่จำเลยอ้างมานั้น มีบันทึกว่าให้รื้อตึกแถวด้านหน้าให้มีที่ว่างตามข้อบัญญัติฯ รื้อกันสาดด้านหลังให้ปราศจากสิ่งปกคลุม รื้อพื้น ค.ส.ล. บางส่วนให้มีช่องโล่งตรงตามแบบรื้อกันสาดด้านข้าง พื้น ค.ส.ล. ชั้นดาดฟ้า เห็นว่า เงื่อนไขที่ปรากฎตามเอกสารหมาย ล.3 หากจำเลยได้มอบให้โจทก์ไปโจทก์ย่อมจะทราบความเป็นจริงของอาคารพิพาททันทีแต่โจทก์อ้างว่าไม่ทราบเพราะจำเลยมิได้บอกและโจทก์ไม่เคยได้รับเอกสารที่มีเงื่อนไขดังกล่าวบันทึกไว้ ต่างฝ่ายต่างก็มีพยานบุคคลและเอกสารยืนยันแต่เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์และเหตุผลแล้ว ปรากฎว่าจำเลยทำการก่อสร้างอาคารพิพาทเพื่อใช้เป็นโรงแรม ใบอนุญาตมีกำหนดถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2528 จำเลยก่อสร้างไม่แล้วเสร็จการที่จำเลยได้ลงทุนมากถึงขนาดนี้ถ้าเหตุการณ์ปกติก็น่าจะรีบดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อเปิดใช้เป็นโรงแรมได้ทันทีแต่จำเลยมิได้ทำการก่อสร้างให้เสร็จและสามารถเปิดดำเนินการได้โดยอ้างว่าคนงานหยุดงานและจำเลยที่ 2 สุขภาพไม่ดีซึ่งไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จำเลยได้ลงทุนไปแล้วจะหยุดงานเสียเฉย ๆ โดยไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรเลยเช่นนี้ ที่จำเลยมิได้ดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จ จึงน่าจะเนื่องจากมีข้อขัดข้องเกี่ยวกับคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ระงับการก่อสร้างและให้รื้อถอนบางส่วนมากกว่า จำเลยจึงปล่อยทิ้งไว้และได้ตกลงจะขายให้โจทก์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2531 การที่โจทก์ประสงค์จะซื้อที่ดินและอาคารสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเพื่อไปทำโรงแรมเช่นเดียวกับที่จำเลยประสงค์ ถ้าโจทก์ซื้อไปแล้วคงจะติดขัดและดำเนินการต่อไปไม่ได้เช่นเดียวกับจำเลย ซึ่งถ้าโจทก์ทราบว่าเมื่อซื้อไปแล้วดำเนินกิจการไม่ได้ ก็คงไม่ลงทุนซื้อจากจำเลยแน่นอนตามพฤติการณ์ดังกล่าวประกอบถึงคำเบิกความของพยานดังได้วินิจฉัยมาข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบถึงคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้จำเลยระงับการก่อสร้างและรื้อถอนส่วนที่ผิดแบบออกไปทำให้โจทก์สำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์อันเป็นสาระสำคัญเป็นเหตุให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆียะ โจทก์จึงมีสิทธิบอกล้างได้และโจทก์นำสืบโดยมีหลักฐานหนังสือบอกล้าง และใบส่งทางไปรษณีย์โดยวิธีตอบรับฟังได้ว่าได้มีการบอกล้างโมฆียะกรรมดังกล่าวแล้วส่วนที่จำเลยอ้างว่าเอกสารหมาย จ.10 ที่โจทก์รับไปนั้นถ้าตรวจดูจะพบความบกพร่องแต่โจทก์มิได้ตรวจสอบนับว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์เองนั้น ประเด็นนี้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีเกี่ยวกับเรื่องความประมาทเลินเล่อของโจทก์ จำเลยต่อสู้คดีเพียงว่าได้บอกข้อบกพร่องเกี่ยวกับอาคารให้โจทก์ทราบแล้ว ฉะนั้นเรื่องความประมาทเลินเล่อของโจทก์จึงมิใช่เป็นข้อที่ให้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share