แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560 มาตรา 6 ยกเลิกความในมาตรา 65 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 และให้ใช้ความใหม่แทน คดีนี้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 65 วรรคสอง (เดิม) ซึ่งระวางโทษประหารชีวิตและความผิดของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 65 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือประหารชีวิต กรณีโทษจำคุกในความผิดฐานนี้ต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสองในความผิดดังกล่าวไม่ว่าในทางใดตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยก ขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 65, 66, 91, 97, 100/1, 102 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 4, 11, 12, 18, 62 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 4, 43 ทวิ, 157/1 พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 42, 64 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนและถุงผ้าหิ้วสีขาวของกลาง เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมายและบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2376/2556 ของศาลจังหวัดมหาสารคาม เข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ข้อหาเป็นบุคคลเดินทาง เข้ามาในและออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธแต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ข้อหาเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน และข้อหาขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับขี่ ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 65 วรรคสอง, 66 วรรคสาม, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 18 วรรคสอง, 62 วรรคสอง และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง, 64 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต เมื่อวางโทษประหารชีวิตแล้วจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 ในความผิดฐานนี้ ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 9 เดือน ฐานเป็นคนไทยเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 2,000 บาท ฐานเป็นคนไทยเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 2,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานเป็นคนไทยเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานเป็นคนไทยเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเสพเมทแอมเฟตามีนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเป็นคนไทยเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คงปรับ 1,000 บาท ฐานเป็นคนไทยเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คงปรับ 1,000 บาท และฐานเสพเมทแอมเฟตามีนจำคุก 3 เดือน สำหรับฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกตลอดชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 2,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ส่วนจำเลยที่ 2 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 91 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 เดือน ฐานขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับขี่ ปรับ 500 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน และฐานขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับขี่ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 4 เดือน ฐานขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับขี่ คงปรับ 250 บาท สำหรับฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกตลอดชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 250 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบเมทแอมเฟตามีนและถุงผ้าหิ้วสีขาวของกลาง เมื่อลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจบวกโทษได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2557 จำเลยที่ 1 เดินทางไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวทางชายแดนตำบลสีกาย อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2557 เวลา 3.20 นาฬิกา จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน ขจม มหาสารคาม 520 ไปรอจำเลยที่ 1 ที่ท่าเรือบ้านสีกายใต้ ตำบลสีกาย อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย เมื่อไปถึงท่าเรือดังกล่าวจำเลยที่ 2 จอดรถจักรยานยนต์ไว้แล้วไปยืนอยู่ในแปลงข้าวโพด ขณะเดียวกันจำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีน 5,124 เม็ด น้ำหนักสุทธิ 486.620 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 70.184 กรัม ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ ซึ่งแบ่งบรรจุในถุงพลาสติกสีฟ้าซุกซ่อนในกระเป๋าผ้าสีขาวนั่งเรือจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือบ้านสีกายใต้ เมื่อถึงท่าเรือบ้านสีกายใต้จำเลยที่ 1 นำกระเป๋าผ้าสีขาวไปแขวนไว้ที่คันบังคับข้างซ้ายของรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 นำมาจอดรอไว้ ร้อยตำรวจโทคมคน ว่าที่ร้อยตำรวจโทวิวัฒน์ และว่าที่ร้อยตำรวจโทอัมพรกับพวก ซึ่งแอบซุ่มอยู่ในบริเวณดังกล่าวจึงเข้าจับกุมจำเลยทั้งสอง คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน และฐานขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับขี่ ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้นำสายลับมาเบิกความว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 หรือไม่ อย่างไร และพยานโจทก์ที่นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมหรือเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า แม้โจทก์ไม่ได้นำสายลับมาเบิกความว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปรอจำเลยที่ 1 บริเวณท่าเรือบ้านสีกายใต้ในยามวิกาลโดยลำพัง ซึ่งได้ความจาก คำเบิกความของพันตำรวจโทเทียมชัย พนักงานสอบสวนว่า บริเวณท่าเรือบ้านสีกายใต้ไม่ใช่ด่านเข้าเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า บริเวณที่เกิดเหตุเป็นป่าละเมาะริมแม่น้ำโขงยากแก่การเข้ามา ทั้งเมื่อไปถึงท่าเรือบ้านสีกายใต้แล้ว จำเลยที่ 2 ได้จอดรถจักรยานยนต์ทิ้งไว้ จากนั้นจำเลยที่ 2 เข้าไปยืนอยู่ในแปลงข้าวโพดแทนที่จะรออยู่ที่รถจักรยานยนต์ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ไปหลบซ่อนเพื่อไม่ให้มีผู้ใดพบเห็น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวย่อมเป็นการผิดปกติวิสัยที่บุคคลทั่วไปพึงกระทำอันส่อเป็นพิรุธ เชื่อว่าจำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 เดินทางไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเพื่อนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักร การที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์มารอรับจำเลยที่ 1 จึงบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมสมคบในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ต้น โดยมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้การกระทำความผิดสำเร็จลุล่วงไป จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560 มาตรา 6 ยกเลิกความในมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 และให้ใช้ความใหม่แทน คดีนี้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 65 วรรคสอง เดิม ซึ่งมีระวางโทษประหารชีวิต และความผิดของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 65 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือประหารชีวิต กรณีโทษจำคุกในความผิดฐานนี้ต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสองในความผิดดังกล่าวไม่ว่าในทางใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 แต่เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายนั้นมีเป็นจำนวนมาก ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 65 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่), 66 วรรคสาม การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ส่วนโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์