แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า โจทก์รับซื้อฝากที่ดินไว้จากผู้มีชื่อเจ้าของเดิมไม่ไถ่คืนที่ดินและโรงเรือนพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าหลวงศรีสุพรรณดิษฐ์รับซื้อฝากที่ดินแทนโจทก์ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น และคำฟ้องโจทก์ไม่ได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงในทางพิจารณา เพราะเป็นการสืบถึงรายละเอียดของวิธีรับซื้อฝากและความเป็นมาแห่งการเป็นเจ้าของที่ดินของโจทก์
แม้การรับซื้อฝากแทนโจทก์จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือ แต่ผู้รับซื้อฝากได้ครอบครองแทนโจทก์ ที่พิพาทก็ตกเป็นของโจทก์ได้โดยทางครอบครอง
ที่วิวาทจะเป็นของโจทก์หรือเป็นของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับโจทก์จำเลยซึ่งเป็นเอกชนไม่มีสิทธิที่จะยกบทกฎหมายดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์
ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาไม่มีข้อความตอนใดเคลือบคลุมอันจะเป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยหลงข้อต่อสู้ตรงไหน ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
วัดเป็นนิติบุคคลที่ทำการรับซื้อฝากที่ดินและเรือนได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาวัตถุประสงค์ของวัดไม่จำต้องกล่าวในฟ้องเพราะไม่ได้มีกฎหมายบัญญัติให้วัดแจ้งวัตถุประสงค์ไว้แต่อย่างใด
เมื่อจำเลยมิได้ยกประเด็นที่ฎีกาขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์จะยกขึ้นมากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลง พร้อมด้วยบ้านสองหลังโดยได้รับซื้อฝากจากผู้มีชื่อแล้วตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ โจทก์ได้ครอบครองมาโดยสงบ และเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมา 30 ปีแล้ว จำเลยที่ 1 ได้เช่าที่ดินและบ้านจากโจทก์แล้วได้โอนขายให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ได้รับตราจองไปแล้ว โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่า และให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่พิพาท จำเลยก็ไม่ออกทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลย ให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยพร้อมทั้งตราจอง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจมอบให้ฟ้องคดีนี้ ใบมอบอำนาจปลอมโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ดินและบ้านไม่ใช่ของโจทก์ฟ้องเคลือบคลุม คดีขาดอายุความ ที่ดินเป็นของจำเลย จำเลยไม่เคยเช่าที่ดินและบ้าน จำเลยได้รับตราจองโดยสุจริต โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่า ค่าเช่าไม่ถึงเท่าที่โจทก์ฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของโจทก์ให้ขับไล่จำเลยทั้งสอง ให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยและตราจองให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามที่ศาลกำหนด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หลวงศรีสุพรรณดิษฐ์ได้รับซื้อฝากที่ดินและบ้านพิพาทแทนโจทก์ แม้การรับซื้อฝากแทนจะไม่ได้ทำเป็นหนังสือแต่ที่พิพาทก็ตกเป็นของวัดโดยทางครอบครอง ที่และบ้านพิพาทไม่ใช่ของหลวงศรีฯ จำเลยฎีกาซ้ำในประเด็นเดียวกัน ที่ว่าโจทก์นำสืบประเด็น และฟ้องแตกต่างกับข้อเท็จจริงในทางพิจารณานั้น โจทก์กล่าวในฟ้องว่า โจทก์รับซื้อฝากที่ดินไว้จากผู้มีชื่อเจ้าของเดิมไม่ไถ่คืน ที่ดินและโรงเรือนพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าหลวงศรีฯ รับซื้อฝากที่ดินแทนโจทก์ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น และคำฟ้องโจทก์ไม่ได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงในทางพิจารณา เพราะเป็นการสืบถึงรายละเอียดของวิธีรับซื้อฝาก และความเป็นมาแห่งการเป็นเจ้าของที่ดินของโจทก์ที่ว่าโจทก์ไม่ได้ยื่น ส.ค.1 ที่ดินจึงเป็นของรัฐ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ที่วิวาทจะเป็นของโจทก์หรือเป็นของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นเอกชนไม่มีสิทธิที่จะยกบทกฎหมายดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์ที่ว่าฟ้องเคลือบคลุม ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาไม่มีข้อความตอนใดเคลือบคลุมอันจะเป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ตามคำให้การของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยหลงข้อต่อสู้ตรงไหน ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมที่ว่าวัดไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับซื้อฝาก และวัดเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ประการใดไม่ได้กล่าวในฟ้องนั้นวัดเป็นนิติบุคคลที่ทำการรับซื้อฝากที่ดินและเรือนพิพาทได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา วัตถุประสงค์ของวัดไม่จำต้องกล่าวในฟ้องเพราะไม่ได้มีกฎหมายบัญญัติให้แจ้งวัตถุประสงค์ไว้ ที่ว่าจำเลยได้ขอออกตราจองแล้วเป็นการออกตราจองทันทีโจทก์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิในที่ดิน ที่ว่าโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลย และค่าเสียหายโจทก์ไม่เกินปีละ 200 บาทนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ จะยกขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์