แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์  พ.ศ. 2505  มาตรา 37 (1)  บัญญัติให้เจ้าอาวาสมีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดบำรุงรักษาวัด  จัดกิจการของวัด  และจัดศาสนาสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี  การที่จำเลยที่ 1  ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดจำเลยที่ 2  ดำเนินการจ้างรถแทร็กเตอร์ไถดินทำถนนและซ่อมแซมถนนซึ่งเป็นถนนสาธารณประโยชน์  มิใช่สมบัติของวัด  ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1  ทำในฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 2  เมื่อการใช้รถแทร็กเตอร์ไถดินนั้นเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์  เพราะที่ดินที่ถูกไดเอาดินไปเป็นที่ดินของโจทก์  และโจทก์มิได้ยินยอม  จำเลยที่ 2  จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
ปัญหาที่กล่าวในวรรคก่อน  จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นให้การต่อสู้ไว้  แต่จำเลยที่ 2 เป็นวัดในพระพุทธศาสนา  การที่จะให้วัดต้องร่วมรับผิดโดยไม่มีความผิด  ย่อมฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน  ศาลจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา 142 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่ ๓  ได้โอนขายที่ดินโฉนดที่ ๕๗๖๕  ให้โจทก์  หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจกท์โดยเอารถแทร็กเตอร์ไถปาดหน้าดินในที่ดินดังกล่าว
ไปถมเป็นถนนเข้าวัดจำเลยที่ ๒  โจทก์ได้รับความเสียหาย  ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันทำที่ดินให้คืนสภาพเดิม  ถ้าไม่ปฏิบัติ  ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๑๖,๐๐๐ บาท  และค่าขาดค่าเช่า ๒,๕๐๐ บาท
จำเลยทั้งสามให้การว่า  การทำถนนผ่านที่พิพาทได้ทำก่อนจำเลยที่ ๓ ขายที่พิพาทให้โจทก์  เมื่อขายที่พิพาทให้โจทก์แล้ว  ได้ทำถนนเข้าวัดต่อจากที่ทำไว้เดิมโดยคนขับรถแทร็กเตอร์ได้ปากเอาหน้าดินของโจทก์ไปแต่งถนน โดยจำเลยทั้งสามไม่ทราบเรื่อง  ค่าเสียหายถ้ามีก็ประมาณ ๕๐๐ บาท  ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า  การใช้รถแทร็กเตอร์ปาดหน้าดินในที่ดินของโจทก์  เป็นเรื่องของกรรมการวัด  จำเลยที่ ๑  ที่ ๓ มิได้รู้เห็นด้วย  วัดจำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคล  การกระทำของจำเลยที่ ๑ ไม่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๒  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า  จำเลยที่ ๑  เป็นผู้จ้างรถแทร็กเตอร์มาไถหน้าดินทำถนนขณะที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว  โดยโจทก์ไม่ได้ยินยอม  เป็นการละเมิดต่อโจทก์  แต่ไม่ใช่เป็นการทำแทนจำเลยที่ ๒  จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด  ส่วนจำเลยที่ ๓ มิได้เกี่ยวข้องรู้เห็นด้วย  พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิด  ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๕๐๐ บาท  สำหรับจำเลยที่ ๒  ที่ ๓  ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  โดยจำเลยที่ ๑  มิได้ฎีกาว่า  จำเลยที่ ๑  เป็นผู้ดำเนินการให้รถแทร็กเตอร์ปาดหน้าดินไปซ่อมแซมถนนโดยโจทก์มิได้ยินยอม  เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์  แต่ถนนที่จำเลยที่ ๑  ดำเนินการซ่อมแซมเป็นถนนสาธารณะ  มิใช่สมบัติของวัด  ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ทำในฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๒  เพราะตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์  พ.ศ. ๒๕๐๕  มาตรา ๓๗ (๑)  บัญญัติให้เจ้าอาวาสมีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดบำรุงรักษาวัด  จัดกิจการของวัด  และจัดศาสนาสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี  การกระทำของจำเลยที่ ๑  จึงอยู่นอกหน้าที่ของเจ้าอาวาส  ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๒  จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด  แม้จำเลยที่ ๒ มิได้ให้การต่อสู้ไว้  จำเลยที่ ๒  ก็เป็นวัดในพระพุทธศาสนา  จะให้ร่วมรับผิดโดยไม่มีความผิด  ย่อมฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน  ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑๔๒ (๕)  สำหรับจำเลยที่ ๓   มิได้เกี่ยวข้องในการกระทำของจำเลยที่ ๑  จึงไม่ต้องรับผิด  พิพากษายืน

