คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 37 (1) บัญญัติให้เจ้าอาวาสมีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดบำรุงรักษาวัด จัดกิจการของวัด และจัดศาสนาสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดจำเลยที่ 2 ดำเนินการจ้างรถแทร็กเตอร์ไถดินทำถนนและซ่อมแซมถนนซึ่งเป็นถนนสาธารณประโยชน์ มิใช่สมบัติของวัด ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำในฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 2 เมื่อการใช้รถแทร็กเตอร์ไถดินนั้นเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะที่ดินที่ถูกไดเอาดินไปเป็นที่ดินของโจทก์ และโจทก์มิได้ยินยอม จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
ปัญหาที่กล่าวในวรรคก่อน จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นให้การต่อสู้ไว้ แต่จำเลยที่ 2 เป็นวัดในพระพุทธศาสนา การที่จะให้วัดต้องร่วมรับผิดโดยไม่มีความผิด ย่อมฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ได้โอนขายที่ดินโฉนดที่ ๕๗๖๕ ให้โจทก์ หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจกท์โดยเอารถแทร็กเตอร์ไถปาดหน้าดินในที่ดินดังกล่าว
ไปถมเป็นถนนเข้าวัดจำเลยที่ ๒ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันทำที่ดินให้คืนสภาพเดิม ถ้าไม่ปฏิบัติ ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๑๖,๐๐๐ บาท และค่าขาดค่าเช่า ๒,๕๐๐ บาท
จำเลยทั้งสามให้การว่า การทำถนนผ่านที่พิพาทได้ทำก่อนจำเลยที่ ๓ ขายที่พิพาทให้โจทก์ เมื่อขายที่พิพาทให้โจทก์แล้ว ได้ทำถนนเข้าวัดต่อจากที่ทำไว้เดิมโดยคนขับรถแทร็กเตอร์ได้ปากเอาหน้าดินของโจทก์ไปแต่งถนน โดยจำเลยทั้งสามไม่ทราบเรื่อง ค่าเสียหายถ้ามีก็ประมาณ ๕๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การใช้รถแทร็กเตอร์ปาดหน้าดินในที่ดินของโจทก์ เป็นเรื่องของกรรมการวัด จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ มิได้รู้เห็นด้วย วัดจำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคล การกระทำของจำเลยที่ ๑ ไม่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๒ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จ้างรถแทร็กเตอร์มาไถหน้าดินทำถนนขณะที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว โดยโจทก์ไม่ได้ยินยอม เป็นการละเมิดต่อโจทก์ แต่ไม่ใช่เป็นการทำแทนจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด ส่วนจำเลยที่ ๓ มิได้เกี่ยวข้องรู้เห็นด้วย พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิด ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๕๐๐ บาท สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยจำเลยที่ ๑ มิได้ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ดำเนินการให้รถแทร็กเตอร์ปาดหน้าดินไปซ่อมแซมถนนโดยโจทก์มิได้ยินยอม เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ แต่ถนนที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการซ่อมแซมเป็นถนนสาธารณะ มิใช่สมบัติของวัด ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ทำในฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๒ เพราะตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๗ (๑) บัญญัติให้เจ้าอาวาสมีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดบำรุงรักษาวัด จัดกิจการของวัด และจัดศาสนาสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงอยู่นอกหน้าที่ของเจ้าอาวาส ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด แม้จำเลยที่ ๒ มิได้ให้การต่อสู้ไว้ จำเลยที่ ๒ ก็เป็นวัดในพระพุทธศาสนา จะให้ร่วมรับผิดโดยไม่มีความผิด ย่อมฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) สำหรับจำเลยที่ ๓ มิได้เกี่ยวข้องในการกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด พิพากษายืน

Share